ตำรวจสายไหมเตรียมล่าพ่อค้าเสื้อวินเทจใช้มีดแทง “พันเอก” ดับ กลางลานเบียร์ประตูกรุงเทพ หลังมีเรื่องชกต่อยกันถึงสองรอบ
ร.ต.อ.สัมฤทธิ์ วินิจรักษา รอง สว.สอบสวน สน.สายไหม รับแจ้งเหตุเมื่อเวลา 01.00 น. วันที่ 11 ม.ค. 2565 ชายถูกอาวุธมีดแทงได้รับบาดเจ็บสาหัส ที่บริเวณลานเบียร์ประตูกรุงเทพ ถนนพหลโยธิน แขวงและเขตสายไหม กทม. จึงรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบว่าบริเวณถนนด้านหลังลานเบียร์ มีกองเลือดจำนวนมาก ส่วนผู้บาดเจ็บถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลภูมิพล ทราบชื่อ พ.อ.อรรถกร ปรักเอโก นายทหารนอกราชการ อายุ 49 ปี ถูกอาวุธมีดแทงหลัง 4 แผล และต่อมาเสียชีวิตในช่วงเช้าวันที่ 11 ม.ค.
จากการสอบสวนพยานที่อยู่ในเหตุการณ์ทราบว่า ก่อนเกิดเหตุพยานนั่งดื่มกินกับเพื่อนที่ร้านเหล้าที่ประตูกรุงเทพพลาซ่า พบผู้เสียชีวิตมานั่งดื่มคนเดียวมีอาการเมา พยายามพูดคุยชนแก้วกับคนในร้าน รวมถึงชนแก้วกับพยานด้วย ผู้เสียชีวิตบ่นว่าไม่มีใครรัก กลุ่มพยานไม่ถือสาเพราะว่าเห็นว่าเป็นคนเมา กระทั่งร้านปิดเวลา 23.00 น. จึงไปนั่งดื่มต่อที่ลานเบียร์ซึ่งปิดให้บริการแล้ว แต่สามารถนั่งได้ ผู้เสียชีวิตเดินตามมาเช่นกัน และเดินไปคุยกับโต๊ะกลุ่มทหาร ก่อนเพื่อนทหารพาขึ้นรถแท็กซี่ คาดว่าพาไปส่งบ้าน โดยไม่รู้ว่าผู้ตายขับรถยนต์มา
ต่อมารถแท็กซี่วนกลับมาส่งลานเบียร์อีกครั้ง ผู้เสียชีวิตลงมาที่รถและเจอกับผู้ก่อเหตุ เห็นผู้เสียชีวิตเตะเก้าอี้พลาสติก ผู้ก่อเหตุจึงเข้าไปทำร้าย มีคนห้ามและให้กลับขึ้นรถ ผู้ก่อเหตุเข้าไปถีบประตูรถทำให้ผู้เสียชีวิตไม่พอใจและเกิดการท้าทายกัน ก่อนที่ผู้เสียชีวิตจะขับรถออกไปวนรอบประตูกรุงเทพสองรอบ โดยผู้ก่อเหตุพยายามที่จะเข้าไปแทงผู้เสียชีวิต แต่ผู้เสียชีวิตได้ขับออกไปและวนรถกลับมาอีก ลงรถมาชกต่อยกันอีกรอบ ก่อนจะถูกแทงล้มลง ผู้ก่อเหตุได้บอกกับพยานกับพวกให้เรียกรถพยาบาล พร้อมบอกว่าไม่อยากมีเรื่อง เป็นแค่คนขายเสื้อผ้าวินเทจ จากนั้นได้เดินไปรวมกลุ่มกับเพื่อนที่นั่งกินเหล้าอีกจุดหนึ่งและหลบหนีไป ก่อนจะมีคนรู้จักผู้ตายขับรถของผู้เสียชีวิตไปส่งโรงพยาบาลภูมิพล
ต่อมาเวลา 12.00 น. วันที่ 11 ม.ค. เจ้าหน้าที่ กก.สส.น.2 และฝ่ายสืบสวน สน.สายไหม ลงพื้นที่ตรวจสอบจุดเกิดเหตุ เพื่อหาพยานหลักฐาน มีรายงานข่าวระบุว่า หลังเกิดเหตุ ผู้ก่อเหตุได้ขึ้นรถยนต์สีขาว ไม่ทราบยี่ห้อและรุ่น โดยมีชายสวมใส่เสื้อสีแดงที่ได้ห้ามปรามผู้ก่อเหตุก่อนหน้านี้เป็นผู้พาหลบหนี ส่วนทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดเพื่อสืบหาเส้นทางของรถยนต์คันดังกล่าว เพื่อติดตามตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
