บิ๊กโจ๊กบุกทลายแก๊งเงินกู้ 4 จว.อีสาน 9 เครือข่าย รีดดอกโหดร้อยละ 60

ขอนแก่น-“บิ๊กโจ๊ก” รวบ 9 เครือข่ายนายทุนเงินกู้นอกระบบ 4 จังหวัด จับ 34 ผู้ต้องหา พร้อมของกลางอื้อ ย้ำชัดยึดทรัพย์ทุกกรณี พร้อมประสานสรรพากร ตรวจสอบด้านภาษี ทุกรายไม่มีละเว้น เตือนนายทุนที่ยังดื้อหากยังปล่อยแก๊งหมวกกันน็อก-โปรยใบปลิว เพ่นพ่าน จับหมดไม่มีละเว้น

เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 3 มี.ค. 65 พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผช.ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.ยรรยง เวชโอสถ ผบช.ภ.4 พล.ต.ต.นพเก้า โสมนัส ผบก.ภ.จว.ขอนแก่น พล.ต.ต.ไพโรจน์ กิจิรพันธ์ ผบก.กองอุทธรณ์ และพล.ต.ต.ณัฐนนท์ ประชุม ผบก.สส.ภ.4 ร่วมกันลงลงพื้นที่ไปยังที่บ้านเช่าเลขที่ 157/16 ม.12 บ้านดอนหญ้านาง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น ซึ่งนางอุทัย แสนศิลา อายุ 64 ปี มีอาชีพขายข้าวโพดต้มและของหวาน โดยอาศัยอยู่ในห้องเช่ากับลูกชายวัย 29 ปี เพื่อให้กำลังใจและสอบถามรายละเอียดในกรณีที่ถูกลูกจ้างของนายทุนเงินกู้ข่มขู่ และยังแนะนำการกู้เงินที่มีการเก็บดอกเบี้ยในอัตราที่กฎหมายกำหนด

นางอุทัย แสนศิลา กล่าวว่า เคยมีสามีที่เป็นข้าราชการตำรวจ แต่สามีเสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 2554 จึงอาศัยอยู่ในบ้านเช่าหลายแห่งกับลูกชาย วัย 29 ปีซึ่งป่วยทางจิตเวช ที่ไม่สามารถดำเนินชีวิตตามลำพังได้ และได้มาเช่าห้องแห่งนี้อาศัยอยู่กับลูกชาย ในราคาค่าเช่าเดือนละ 1,000 บาท ค่าน้ำค่าไฟเดือนละ 1,000 บาท และยึดอาชีพขายข้าวโพดต้มและของหวาน ซึ่งจะมีการลงทุนวันละ 700-1,000 บาท แต่เงินไม่ค่อยมี เพราะมีรายได้จากเงินผู้สูงอายุเท่านั้น จึงได้กู้เงินนอกระบบตามใบปลิวที่มีการโปรยตามข้างถนน มีการกู้ทั้งหมด 4 ราย รายละ 5,000 บาท รวมเป็นเงิน 25,000 บาท ให้ผ่อนดอกเบี้ย วันละ 250 บาท รวมแล้วต้องจ่ายดอกเบี้ยวันละ 1,050 บาท ซึ่งแต่ละรายจะให้ผ่อนดอกเบี้ยภายในระยะเวลา 24 วัน มีการผ่อนมาเรื่อยๆ ได้ครบบ้าง ไม่ครบบ้าง เพราะขายของไม่ดี แล้วยังต้องลงทุนทุกวัน

เมื่อวันที่ 16 ก.พ. ที่ผ่านมา ถูกคนเก็บเงินกู้ในสายของบังบอส เข้าไปเก็บดอกเบี้ยรายวันแต่เช้า จึงยังไม่มีเงินให้ แล้วถูกข่มขู่จะทำร้ายร่างกายและจะมายึดเอาตู้เย็นที่ใช้แช่ของขายไปอีก ด้วยความกลัว จึงได้เข้าไปแจ้งความกับตำรวจ สภ.เมืองขอนแก่น เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมาช่วยเหลือ เพราะไม่อยากถูกคนเก็บดอกเบี้ยเงินกู้มายึดเอาตู้เย็นไป

นางอุทัย กล่าวอีกว่า ค้าขายแบบนี้เลี้ยงปากท้องแม่ลูก 2 คน แต่ต้องมีรายจ่ายอื่นๆ อีก ทั้งค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำค่าไฟ ค่ากินในแต่ละวัน จำเป็นต้องกู้หนี้นอกระบบ เพราะไม่สามารถจะยื่นกู้ในระบบได้ จึงอยากขอความช่วยเหลือจาก พมจ.ให้หาที่อยู่อาศัยที่แม่ลูกสามารถอยู่ด้วยกันได้ และขอความช่วยเหลือไปยังพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สร้างบ้านหลังเล็กๆ ให้อยู่ เพื่อจะได้มีที่ซุกหัวนอน และมีที่นอนตาย เพราะทุกวันนี้ลำบากมาก

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผช.ผบ.ตร. กล่าวว่า หากได้รับความเดือดร้อนจากกลุ่มนายทุนเงินกู้นอกระบบ ข่มขู่ ให้ทำร้าย ให้รีบไปพบตำรวจ เพื่อจะได้ทำการช่วยเหลือจับกุม กลุ่มคนเหล่านี้ เพราะการปล่อยกู้นั้น เก็บดอกเบี้ยร้อยละ 60 บาท จึงเป็นการปล่อยกู้ที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งจะต้องถูกจับกุมตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ต่อมาที่กองบังคับการตำรวจภูธร จ.ขอนแก่น พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผช.ผบ.ตร. ร่วมกันแถลงข่าวผลการระดมกวาดล้างจับกุมกลุ่มเครือข่ายนายทุนเงินกู้นอกระบบ ของศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ ตำรวจภูธรภาค 4 ได้ปฏิบัติการ “สร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำหยุดการข่มขู่เอารัดเอาเปรียบประชาชน” จับกุมในพื้นที่ จ.ขอนแก่น, อุดรธานี, นครพนม และ จ.หนองคาย ได้ผู้ต้องหา 34 คน แยกเป็น จ.ขอนแก่น 18 คน ใน 4 เครือข่าย, อุดรธานี 9 คน 2 เครือข่าย, นครพนม 1 คน 1 เครือข่าย และ จ.หนองคาย 6 คน 2 เครือข่าย พร้อมตรวจยึดของกลางประกอบด้วย รถยนต์จำนวน 4 คัน, รถจักรยานยนต์ 12 คัน, โทรศัพท์มือถือ 21 เครื่อง, บัญชีที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดจำนวน 17 บัญชี, นามบัตรกว่า 50,000 ใบ รวมไปถึงสมุดบันทึกรายชื่อลูกหนี้รวมอีกหลายรายการ

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า พบว่าผู้ต้องหาทั้งหมดอยู่ในกลุ่มเครือข่ายนายทุนเงินกู้นอกระบบ 9 เครือข่าย และจากการสอบสวนพบว่าเชื่อมโยงไปถึงกลุ่มนายทุน 3 รายใหญ่ ที่ อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม และ อ.เมือง จ.กาญจนบุรี โดยขณะนี้รู้ตัวแล้วว่าเป็นใครและได้จับกุมต่อไป พฤติกรรมกลุ่มขบวนการนายทุนดังกล่าวยังคงอาศัยช่องว่างและจังหวะที่ประชาชนเข้าไม่ถึงสถาบันการเงินของรัฐ กระทำการแจกใบปลิว ไปในพื้นที่ต่างๆ เพื่อให้ผู้ที่เดือดร้อนและต้องการใช้เงินนั้นได้ติดต่อผ่านหมายเลขโทรศัพท์ตามนามบัตรที่กำหนด จากนั้นก็จะมีคนของนายทุนเข้ามาประสานงานและปล่อยเงินกู้ โดยบอกแค่ว่าอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2 และทำสัญญาแบบนิติกรรมอำพราง ซึ่งเมื่อประชาชนได้รับเงินไปก็ถือว่าได้เงินแล้วแต่ไม่ดูว่าเงินที่กู้กับกลุ่มดังกล่าวไปนั้นร้อยละ 2 ต่อวันหรือร้อยละ 60 ต่อเดือน ซึ่งถือเป็นอัตราดอกเบี้ยที่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด

“ขณะนี้นายทุนรายใหญ่ใน 3 พื้นที่ตำรวจได้เฝ้าติดตามจับกุมตัวแล้ว และทุกรายเมื่อจับกุมตัวมาก็จะใช้มาตรการด้านภาษีและมาตรการในการยึดทรัพย์ ซึ่งต้องยอมรับว่าเมื่อผู้ต้องหาที่จับกุมตัวไปนั้น โดยเฉพาะผู้ที่ทำการแจกใบปลิวหรือแก๊งหมวกกันน็อกเมื่อถูกจับและขึ้นศาลก็จะถูกศาลปรับ แต่จากนี้ไปตำรวจจะประสานการทำงานร่วมกันกับกรมสรรพากร และ ปปง.ในมาตรการยึดทรัพย์และเรื่องภาษี จึงขอเตือนให้กลุ่มนายทุนที่ยังคงปล่อยทีมงานเพ่นพ่านแจกนามบัตร โปรยใบปลิวจะต้องขอให้หยุดการกระทำผิดดังกล่าว เพราะนามบัตรทุกใบที่ตำรวจตรวจพบ จะทำการสืบสวนสอบสวนสาวไปถึงนายทุนรายใหญ่ทันที โดยเฉพาะกลุ่มจังหวัดทางภาคกลางที่มีเงินสะพัดวันละกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มนายทุนดังกล่าวก็หันมาใช้ในระบบแอปพลิเคชันไลน์ และการส่งข้อความถึงประชาชนแทน ดังนั้นตำรวจไซเบอร์ และคณะทำงานร่วมทุกฝ่ายจะติดตามจับกุมกลุ่มนายทุนหนี้นอกระบบมาดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด”.

Related posts