สุริยะสั่งกนอ.คุมน้ำมันรั่ว-2 สส.ระยอง จี้รัฐตั้งกองทุนเยี่ยวยาฟื้นฟู สวล./สัตว์ทะเล

“สุริยะ” สั่ง กนอ. เร่งตรวจสอบน้ำมันรั่วลงทะเล บมจ.สตาร์ ปิโตรเลียม ท่าเรือมาบตาพุด ด้าน “วีริศ” ผู้ว่า กนอ. รุดลงพื้นที่ ควบคุมสถานการณ์ สั่งเตรียมรับมือกรณีฉุกเฉินหรือลมเปลี่ยนทิศ เล็งดึงผู้เชี่ยวชาญร่วมคิดและวางแผนดูแลและซ่อมบำรุงรักษา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำอีกในอนาคต ด้าน 2 สส.ระยอง “ธารา” “บัญญัติ” จี้รัฐเร่งดูแล พร้อมตั้งกองทุนเยียวยาเพื่อฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมทางทะเลและสัตว์ทะเล รวมทั้งประชาชนที่ได้รับผลกระทบ

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ภายหลังได้รับรายงานน้ำมันดิบรั่วไหลบริเวณทุ่นผูกเรือน้ำลึก หรือจุดขนถ่ายน้ำมันในทะเล (SPM) ของบริษัท สตาร์ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) ซึ่งตั้งอยู่ในท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด อ.เมืองระยอง จ.ระยอง เมื่อช่วงกลางดึกของวันที่ 25 ม.ค. 2565 และเจ้าหน้าที่สามารถปิดวาล์วน้ำมันได้ในช่วงเวลาประมาณเที่ยงคืนนั้น ได้มอบหมายให้ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ. ในฐานะหน่วยงานที่ดูแลพื้นที่เร่งเข้าตรวจสอบโดยเร็วที่สุด เพื่อติดตามสถานการณ์และหาสาเหตุพร้อมทั้งหาแนวทางแก้ไขต่อไป

“ผมได้สั่งการให้มีการเตรียมความพร้อมรับมือกรณีเกิดกระแสลมหรือคลื่นเปลี่ยนทิศไว้ล่วงหน้าด้วย ที่สำคัญต้องรีบจัดการกับคราบน้ำมันดังกล่าวให้เร็วที่สุด พร้อมหาสาเหตุของการรั่วไหล” นายสุริยะกล่าว

ด้าน นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวว่า ภายหลังได้รับ ข้อสั่งการตนจึงเร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ทันที โดยได้ รับรายงานประมาณการณ์น้ำมันดิบรั่วไหลไม่เกิน1.6 แสนลิตร หรือคิดเป็น 128 ตัน คิดเป็น 0.04% ของน้ำมันในเรือ ขณะที่เรือมีความจุประมาณ 3.2 แสนตันอย่างไรก็ตาม ภายหลังปิดวาล์วที่เกิดเหตุได้สำเร็จ เจ้าหน้าที่ได้ทำการล้อมพื้นที่ที่น้ำมันดิบรั่วไหลในรัศมีไม่เกิน 1 ตารางกิโลเมตร พร้อมทั้งได้มีการฉีดพ่นน้ำยาขจัดคราบน้ำมัน (Oil Spil! Dispersant โดยจุดเกิดเหตุนั้นห่างจากชายฝั่งประมาณ 20 กิโลเมตร เบื้องต้นประเมินสถานการณ์ว่าจะส่งผลกระทบไม่มากนัก

“ตามที่ รมว. อุตสาหกรรม ได้สั่งการ กนอ. ได้หาสาเหตุของการรั่วไหลโดยเบื้องต้น พบว่าท่อดังกล่าวมีการบำรุงรักษาอุปกรณ์ตามแผนการดำเนินงานของทางบริษัทฯ มาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้อาจจะมีการขอดูแผนในการดูแลและบำรุงรักษา รวมถึงอายุการใช้งานของท่อว่ามีอายุการใช้งานเท่าไหร่ จำเป็นต้องปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงแผนให้มีความเหมาะสมหรือไม่ เพื่อจะนำข้อมูลต่างๆ เหล่านี้มาวางแนวทางให้เข้มงวดมากขึ้น หรือให้ผู้เชี่ยวชาญเข้ามาร่วมคิดและวางแผนในการดูแลและบำรุงรักษาด้วย เพื่อป้องกันไมให้เกิดเหตุซ้ำขึ้นอีกในอนาคต ซึ่งตนจะรายงานให้นายสุริยะทราบเป็นระยะๆ ” นายวีริศ กล่าว

ทั้งนี้ ภายหลังเกิดเหตุทางบริษัทได้แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบในพื้นที่ทันที โดยหน่วยงานทางด้านสิ่งแวดล้อมจะทำการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมต่อไป

ด้าน นายธารา ปิตุเตชะ พร้อมด้วย นพ.บัญญัติ เจตนจันทร์ ส.ส.ระยอง พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ร่วมแถลงกรณีเหตุการณ์ท่อน้ำมันดิบใต้ทะเลของบริษัทสตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) มีน้ำมันดิบรั่วไหล จากท่อใต้ทะเลของทุ่นรับน้ำมันดิบกลางทะเล บริเวณพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด โดย นพ.บัญญัติ กล่าวว่า เหตุดังกล่าวส่งผลให้ปัจจุบันเกิดการปนเปื้อนน้ำมันดิบกระจายอยู่ในน้ำทะเล เกรงว่าบริเวณหาดแม่รำพึง เกาะเสม็ด ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญจะได้รับผลกระทบ ตลอดน้ำทะเล และสัตว์ทะเลจะปนเปื้อนสารพิษ ด้วยความห่วงใยจึงขอเรียกร้องให้ภาครัฐเร่งกำจัดคราบน้ำมัน เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และการท่องเที่ยว พร้อมทั้งตั้งกองทุนเยียวยาเพื่อฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมทางทะเลและสัตว์ทะเล รวมทั้งประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ทั้งนี้ เมื่อปี 56 เคยเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้มาแล้ว ซึ่งขณะนั้นปริมาณน้ำมันมีน้อยกว่านี้ แต่ใช้เวลาฟื้นฟูหลายปีกว่าจะฟื้นกลับคืนมาในสภาพปกติได้ จึงไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

ตามที่รัฐบาลได้เร่งทำการแถล่งข่าวไปแล้วว่าได้ในการควบคุมสถานการณ์คราบน้ำมันได้แล้วนั้น อย่าพึ่งแน่ใจ เพราะขณะนี้กระแสลม และกระแสน้ำ อาจทำให้ทุ่นกักน้ำมันกักคราบน้ำมันไม่อยู่จนทำให้เล็ดลอดออกมาได้ รัฐบาลอย่าประมาท นอกจากนี้ขอให้เร่งเตือนประชาชนที่อยู่นอกชายฝั่งให้ระมัดระวังและเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ดังกล่าวด้วย

ด้านนายธารา กล่าวว่า ตั้งแต่มีการก่อสร้างโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ด ชาวระยองรับได้เพราะถือว่าเป็นเรื่องประโยชน์ประเทศชาติ แต่เมื่อเกิดเหตุท่อน้ำมันรั่วตนขอฝากถึงภาครัฐและผู้ประกอบการถือเป็นความเลินเล่อทั้งนั้น ขอให้เร่งออกมารับผิดชอบดูแลทั้งสภาพแวดล้อม การท่องเที่ยว การประมงเร่งแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนเพื่อให้ทุกอย่างกลับสู่ภาวะปกติ นอกจากนี้ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะผู้ว่าราชการจังหวัดระยองเร่งสั่งการ กำกับดูแลประชาชนและร่วมแก้ไขปัญหากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่าให้บานปลาย

Related posts