TerrabkkจัดTerrahint Brand Series ประกาศรางวัลบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไทยที่สามารถครองใจผู้บริโภค

กรุงเทพฯ-บริษัท เทอร์ร่า มีเดีย แอนด์ คอนซัลติ้ง จำกัด จัดงานสัมมนา “TERRAHINT BRAND SERIES 2022 ขบคิดติดเครื่องแบรนด์เพื่ออนาคต REBRANDING : INVESTING FOR THE FUTURE” ประกาศผลและมอบรางวัลให้กับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ไทย ที่สามารถครองใจผู้บริโภคในสาขาต่างๆ โดยมี คุณมีศักดิ์ ชุนหรักษ์โชติ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย เป็นประธานมอบรางวัล The Most Powerful Real Estate Brand 2022 พร้อมเผยผลวิจัยเจาะลึกพฤติกรรมผู้บริโภคตามแนวคิด “GOOD HEALTH AND WELL-BEING” ณ ห้องประชุมออดิทอเรียม ซี อาเซียน ชั้น 3 อาคารไทยเบฟควอเตอร์ เมื่อเร็วๆ นี้

นางสาวสุมิตรา วงภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทอร์ร่า มีเดีย แอนด์ คอนซัลติ้ง จำกัด กล่าวว่า สำหรับ การประกาศผลรางวัล The Most Powerful Real Estate Brand ประจำปี 2022 บริษัทอสังหาริมทรัพย์ไทย ที่สามารถคว้ารางวัลนี้ไปครอง ได้แก่ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งนับเป็นปีแรกที่ SC ASSET คว้ารางวัลนี้ได้สำเร็จ โดย เป็นแบรนด์ที่มีการปรับตัวเติบโตต่อเนื่อง ทั้งการรับรู้ ภาพลักษณ์ และความพึงพอใจ ก่อให้เกิดการสร้างฐานลูกค้าผู้ภักดี ครองตำแหน่ง อันดับ 1 ได้นั่นเอง โดยมี คุณณัฏฐกิตติ์ ศิริรัตน์ หัวหน้าสายงานการตลาด บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นผู้แทนรับมอบรางวัล

ขณะที่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ได้รับรางวัล Eternal Award เป็นแบรนด์ที่ครองใจลูกค้าได้ต่อเนื่องเป็นอันดับหนึ่ง 5 ปี ติดกัน เปรียบเสมือนแบรนด์ดาวค้างฟ้าเป็น “ตำนาน” ในแวดวงอสังหาฯ โดยมี คุณชลีรัตน์ ต่อจรัส ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดองค์กร บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้แทนรับมอบรางวัล ด้าน บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) สามารถคว้ารางวัล Credence Award แบรนด์ผู้กำหนดบรรทัดฐานคุณภาพ และสร้างฝันของลูกค้าได้เป็นจริงสูงที่สุด และประกาศเกียรติคุณพิเศษให้กับ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ด้าน Excellence in Cater to Economy Group (แบรนด์ตอบโจทย์คนชั้นกลาง) และ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ MQDC ด้าน Excellence in Green Development (แบรนด์ที่พัฒนามุ่งคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม)

สำหรับผลวิจัย The Most Powerful Real Estate Brand 2022 และผลวิจัยเจาะลึกพฤติกรรมผู้บริโภคตามแนวคิด“GOOD HEALTH AND WELL-BEING” โดยเก็บข้อมูลแบบออนไลน์จากกลุ่มตัวอย่าง พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ 84% จาก 1,000 ตัวอย่างมีแผนจะซื้อที่อยู่ อาศัย โดยกว่า 44% คาดว่าจะซื้อบ้านเดี่ยว และ 29% คาดว่าจะซื้อคอนโดฯ โดยวางงบซื้อที่อยู่อาศัยในระดับราคา 3-5 ล้านบาท ปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยมาจาก 3 ปัจจัย คือ ระบบรักษาความปลอดภัยของโครงการ, บริการหลังการขาย และสังคมเพื่อน บ้านที่ดี

ส่วนที่อยู่อาศัยระดับราคา 3-7 ล้านบาท ในกลุ่มบ้านแนวราบทำเลที่ได้รับความนิยม 3 อันดับแรก คือ รังสิต-ลำลูกกา, บางใหญ่-บางบัวทอง, และบางพลี ขณะที่ทำเลอยู่อาศัยในกลุ่มคอนโดฯ ที่ได้รับความนิยม 3 อันดับแรก คือ จตุจักร-ประชาชื่น, อ่อนนุช-บางนา และพญาไท-อารีย์ โดยปัจจัยสำคัญในการซื้อบ้านหรือคอนโดฯ ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับระบบรักษาความปลอดภัย, บริการ หลังการขายที่ดี, สังคมเพื่อนบ้านดี, วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้าง และราคา เมื่อเจาะลึกลงถึงความต้องการของผู้บริโภคใน กลุ่มบ้านแนวราบ พบว่า คนส่วนใหญ่ต้องการบ้านที่มีฟังก์ชั่นครอบคลุม อาทิ Smart Home เพื่อความปลอดภัย, นวัตกรรมจัดการคุณภาพอากาศ, การออกแบบเพื่อสูงอายุ, ที่ชาร์จรถ EV และDouble Volume ขณะที่กลุ่มคอนโดฯ จะให้ความสำคัญกับฟังก์ชั่นที่เพิ่มความเป็นส่วนตัว อาทิ ประตู-ฉากกั้นห้องนอน, หน้าต่างบานใหญ่, ครัวปิด, ห้องนอนที่สามารถวางเตียงขนาด 6 ฟุตได้

ทั้งนี้จะเห็นว่าเทรนด์ของผู้บริโภคในปี 2566 – 2567 จะให้ความสำคัญกับโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ช่วยสร้างความเป็นอยู่ที่ดี (Well-being) มากกว่าการเปรียบเทียบราคาหรือทำเลแบบเมื่อก่อน โดยมีความต้องการหรือคาดหวังบ้านในอุดมคติจะต้องช่วยสร้างความเป็นอยู่ ให้ดีขึ้น และต้องสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ส่วนบุคคลผู้อยู่อาศัยในแต่ละช่วงวัย ซึ่งข้อมูลที่น่าสนใจพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม ในกลุ่ม Gen Y อายุ 27-40 ปี มีแผนที่จะซื้อที่อยู่อาศัยถึง 88% โดยตัวเลขที่น่าสนใจคือ 38% ของ Gen Y เป็นการซื้อบ้านหลังที่ 2 และ 29% เป็นการซื้อบ้านหลังแรก ซึ่งส่วนใหญ่มีความต้องการซื้อบ้านเดี่ยวในระดับ ราคา 3-7 ล้านบาท และให้ความสำคัญกับระบบรักษา ความปลอดภัย ที่รัดกุมและทันสมัย รวมถึงการออกแบบ Universal Design รองรับทุกเพศ ทุกวัย และพื้นที่ส่วนกลาง 24 ชั่วโมง

ขณะที่กลุ่ม Gen Z อายุ 18-26 ปี ก็เป็นอีกกลุ่มที่กว่า 87% ของผู้ตอบแบบสอบถาม มีแผนที่จะซื้อที่อยู่อาศัย ซึ่ง 72% เป็นการ ซื้อบ้านหลังแรกของ Gen Z และ 17% เป็นการซื้อบ้านหลังที่ 2 โดยสนใจซื้อคอนโดฯและบ้านเดี่ยว ในระดับราคา 2-5 ล้านบาท โดย ปัจจัยสำคัญมาจาก ความต้องการที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง, ต้องการสังคมที่ดีขึ้น ปลอดภัยขึ้น และต้องการซื้อไว้พักอาศัยในวันทำงาน ขณะที่เรื่องการจัดการระบบสาธารณูปโภคที่ดี เช่น สายไฟลงดิน, ระบบระบายน้ำ, ระบบจัดการขยะ นวัตกรรมที่ช่วยอำนวยความ- สะดวก เช่น Smart Home, EV Charger, การก่อสร้างที่ไม่ก่อมลพิษ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ยังเป็นเทรนด์สำคัญที่คนกลุ่ม Gen Z มีความต้องการเป็นอันดับต้นๆ

ด้านแนวโน้มความเชื่อมั่นผู้บริโภคปี 2565 พบว่ามีสัญญาณดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปี 2565 อยู่ที่ 79.3 เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ที่ 45.4 ซึ่งจากข้อมูลพบว่ากลุ่มเจ้าของกิจการมีความเชื่อมั่นมากขึ้น โดยส่วนใหญ่ให้ความเห็นว่าปี 2565 สถานะทางการเงินดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และเชื่อมั่นว่าในอีก 1 ปีข้างหน้าภาพรวมเศรษฐกิจไทยจะอยู่ในช่วงขาขึ้น ซึ่งมีผลต่อ การตัดสินใจซื้อสินค้าที่มีมูลค่าสูง เช่น อสังหาฯ หรือรถยนต์ เป็นต้น ” นางสาวสุมิตรา กล่าวสรุปไว้น่าสนใจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง