สธ.ร่วมมหาวิทยาลัยประเมินผลรับมือ “โควิด” ของไทยตามแนวทาง WHO พบอยู่ระดับดีมาก ความรุนแรงโรคลดลง คาดเข้าสู่โรคประจำถิ่นได้ใน ก.ค.นี้
เมื่อวันที่ 5 มี.ค. 2565 นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า ความรุนแรงของโรคโควิด-19 ทั่วโลกและไทยมีทิศทางลดลง สธ.จึงวางแผนการบริหารจัดการเพื่อเข้าสู่การเป็นโรคประจำถิ่น ล่าสุดทีมวิจัยของ สธ.ร่วมกับมหาวิทยาลัยต่างๆ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประเมินผลการรับมือสถานการณ์โควิดโดยลงพื้นที่จริง
ทั้งในระดับประเทศและพื้นที่ จำนวน 8 พื้นที่หลัก และ 44 พื้นที่ย่อย เพื่อจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบาย การเตรียมความพร้อมและมาตรการสำคัญในการรับมือสถานการณ์ในระยะถัดไปจนเข้าสู่การยุติการระบาด โดยประเมินตามสมรรถนะหลักขององค์การอนามัยโลก (WHO) และถอดบทเรียน ทบทวนหลังปฎิบัติงาน พบว่า
1.ประเทศไทยและ สธ.มีสมรรถนะและการรับมือสถานการณ์อยู่ในระดับดีมาก ใน 7 องค์ประกอบหลัก เช่น ภาวะผู้นำ การบริหารจัดการ กำลังคน ยา เวชภัณฑ์ วัคซีน ระบบบริการ การมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่างๆ
2.ขณะนี้สถานการณ์ส่วนใหญ่ทั่วโลกและไทย อยู่ในระยะปรับตัวเข้าสู่การยุติการระบาดใหญ่ (Pandemic Ending) เป็น “โรคประจำถิ่น (Endemic) จากปัจจัยของเชื้อที่ลดความรุนแรงลงมาก สถานการณ์อยู่ในระยะทรงตัวและชะลอการเพิ่มจำนวน คาดว่าจะดีขึ้นตามลำดับและเข้าสู่การเป็นโรคประจำถิ่นในต้น ก.ค.2565 ซึ่งปัจจัยสำคัญในการยุติการระบาดใหญ่ คือ ระดับภูมิคุ้มกันโควิด 19 ของประชาชน ต้องขอความร่วมมือรับวัคซีนเข็มกระตุ้น เพื่อลดจำนวนผู้ป่วยอาการรุนแรงและเสียชีวิตลงให้มากที่สุด โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ซึ่งเข็มกระตุ้นจะลดโอกาสเสียชีวิตลงถึง 41 เท่า รวมถึงยังต้องเข้มมาตรการป้องกันการติดเชื้อ เพื่อลดและชะลอจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ ซึ่งจะช่วยลดโรคทางเดินหายใจอื่นๆ ด้วย เช่น วัณโรค ไข้หวัดใหญ่
นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข (สธ.)
3.ระบบบริการการแพทย์และสาธารณสุข เช่น ระบบป้องกันควบคุมโรค บุคลากร ยา เวชภัณฑ์ และจำนวนเตียงมีความพร้อมรับสถานการณ์ แต่ต้องปรับการดูแลรักษาในลักษณะเดียวกับโรคติดต่อทั่วไป เช่น ไข้หวัดใหญ่ โดยผู้ที่ไม่มีอาการหรืออาการน้อยรักษาตัวแบบผู้ป่วยนอก ดูแลตนเองที่บ้าน และรับเป็นผู้ป่วยในกรณีเสี่ยงหรืออาการรุนแรง ส่วนการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรค จะเน้นสอบสวนควบคุมการระบาดที่เป็นกลุ่มก้อน เฝ้าระวังการกลายพันธุ์และเพิ่มความรุนแรง และพิจารณาให้วัคซีนระยะถัดไปเป็นการให้วัคซีนประจำปีในกลุ่มเสี่ยงคล้ายวัคซีนไข้หวัดใหญ่ นอกจากนี้ ต้องเร่งพัฒนาระบบสาธารณสุขในเขตเมืองขนาดใหญ่ เช่น กทม.
4.ระบบเวชภัณฑ์ ยา วัคซีน สามารถบริหารจัดการได้ดี มีจำนวนเพียงพอ นโยบายรัฐบาลมีความต่อเนื่องในการพัฒนาความมั่นคงด้านสุขภาพ โดยส่งเสริมสนับสนุนการผลิตภายในประเทศ เพื่อพร้อมรับมือวิกฤตด้านสุขภาพและโรคติดต่ออุบัติใหม่อื่นในอนาคต และ 5.ต้องเร่งพัฒนาระบบการสื่อสารสร้างความเข้าใจที่ทันสมัยและเชิงรุก ทั้งสื่อสังคมออนไลน์และสื่ออื่นให้เข้าถึงคนทุกกลุ่ม บริหารจัดการข่าวปลอมอย่างมีประสิทธิภาพ เตรียมความพร้อมเข้าสู่ “โรคประจำถิ่น” โดยสร้างความรู้ ความเข้าใจ การปรับตัว ทั้งในภาคประชาชน สังคม วัฒนธรรม การใช้ชีวิตรูปแบบวิถีใหม่ มาตรการทางสังคมที่ดีและเหมาะสม เช่น การป้องกันตนเองและผู้อื่น ความรับผิดชอบต่อสังคมเพื่อไม่ให้เกิดการระบาดหรือการแพร่เชื้อ เป็นต้น
“หากเทียบเคียงกับการระบาดใหญ่ของโรคไข้หวัดใหญ่ 2019 เมื่อปี 2552 ขณะนี้เป็นการเข้าสู่การยุติการระบาดใหญ่และปรับตัวไปเป็นโรคประจำถิ่น ซึ่งวิกฤตโรคโควิด-19ครั้งนี้จะสิ้นสุดลงได้ด้วยความร่วมมือของทุกฝ่าย ทั้งการบริหารจัดการและมาตรการในระดับชาติและพื้นที่ ความร่วมมือของภาครัฐและเอกชน ที่สำคัญคือ การสร้างความรู้ ความเข้าใจ และความร่วมมือจากประชาชน” นพ.รุ่งเรือง กล่าว