นายมาร์ค เบลเชอร์ อายุ 53 ปี ชาวสัญชาติออสเตรเลียซึ่งได้ภรรยาเป็นคนไทยที่บ้านสำโรง ม.11 ต.บ้านขาม อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น โดยเลี้ยงควายหลายตัว ทั้งควายเผือก ควายดำ บริเวณที่นาอยู่ทางด้านทิศเหนือของหมู่บ้าน ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 1 กม. ควายบางตัวเดินเลาะเล็มหญ้า บางตัวก็ลงไปเล่นน้ำคลายร้อน ทั้งมุดน้ำทั้งแช่ในน้ำ สร้างบรรยากาศความเป็นลูกทุ่งอีสานให้กับผู้คนที่พบเห็น
นางณัฐชญา เบลเชอร์ อายุ 54 ปี ชาวบ้าน ม.7 ต.บ้านเป็ด อ.เมือง จ.ขอนแก่น ภรรยาของนายมาร์คที่เดินเลี้ยงควายอยู่ในทุ่งนา กล่าวว่า สามีมาจากประเทศออสเตรเลีย ชอบเลี้ยงควายอย่างมาก ทุกวันจะออกมาเลี้ยงควายเช่นนี้เป็นประจำตั้งแต่เช้าของทุกวัน ในขณะที่ใช้ชีวิตร่วมกันที่ประเทศออสเตรเลียนั้นสามีถามบ่อยๆ ว่า อยู่ที่บ้านที่ประเทศไทยทำอะไรบ้าง จึงเล่าให้สามีฟังว่าทำนาปลูกข้าว ปลูกต้นไม้นานาชนิดและเลี้ยงควาย และเล่าถึงวิถีชีวิตของคนอีสานเกี่ยวกับการเลี้ยงควายและใช้ควายไถนาปลูกข้าว สามีจึงชอบใจและอยากสนใจอยากเลี้ยงควาย จากนั้นเมื่อเดินทางกลับมาพักที่ประเทศไทย สามีก็จะให้พาตระเวนซื้อควายเพื่อจะมาเลี้ยงเอง
วันเวลากระทั่งผ่านไป 2 ปี สามีตัดสินใจขายธุรกิจร้านอาหารที่ประเทศออสเตรเลีย แล้วพากันกลับมาอยู่ที่บ้านในจังหวัดขอนแก่น เป็นช่วงที่ควายเผือก ควายดำ ตกลูกหลายตัว รวม 14 ตัว แบ่งเป็นควายเผือก 7 ตัว ควายดำ 7 ตัว สามีจึงตัดสินใจขอเลี้ยงควายเอง เช้าก็ออกจากบ้านพักในเมืองขอนแก่นเดินทางมายังที่นาพื้นที่ 20 ไร่ ที่ติดกับหนองบาก แล้วก็จะเลี้ยงควาย ต้อนควายกินหญ้าริมหนองน้ำ ตกเย็นก็จะต้อนควายเข้าคอกและให้หลานชายดูแลให้ต่อในช่วงเย็น
ด้าน นายมาร์ค เจ้าของฟาร์มควายไทย กล่าวว่า ตัวเองไม่คิดจะขายควายที่เลี้ยงไว้ คิดแต่จะทำฟาร์มขายพันธุ์ควายให้เพิ่มปริมาณให้มากขึ้น เพราะอยากอนุรักษ์ควายไทยที่ตัวเองชอบเอาไว้ด้วยความรัก และรู้ว่าคนอีสานชอบกินก้อย และตัวเองก็ชอบกินลาบ แต่จะไม่ขายควายให้ชาวบ้านไปฆ่ากิน แต่จะให้ชาวบ้านนำควายมาผสมพันธุ์กับควายในฟาร์มของตนเท่านั้น พร้อมทั้งยังเปิดให้คนอื่นๆ ได้เข้ามาชมมาเล่นกับควายทุกตัวด้วย และควายทุกตัวนั้นได้ตั้งชื่อเป็นภาษาอังกฤษ และพูดกับควายทุกวันเป็นภาษาอังกฤษเหมือนสัตว์เลี้ยง และควายแต่ละตัวก็ฟังออกอีกด้วย เช่น สต็อป ก็หยุด บอก คัมออน ก็มาหา ซึ่งในอนาคตหากชราภาพแล้วก็จะให้หลานชายและลูกสาวดูแลต่อไป.