ชุมชนชาวมาลายูปัตตานี ได้เริ่มเคลื่อนย้ายจากถิ่นฐาน จ.ปัตตานี เข้าสู่ จ.พัทลุง เมื่อประมาณเกือบ 100 ปีที่ผ่านมา จำนวนนึ่ง โดยเริ่มแรกบางส่วนจะเคลื่อนย้ายจาก มาลายูปัตตานี เข้าสู่ จ.นครศรีธรรมราชก่อน แล้วต่อมาบางส่วนก็ได้ย้ายจาก จ.นครศรีธรรมราช เข้าสู่ จ.พัทลุง ยังพื้นที่ อ.ตะโหมด อ.เขาชัยสน และ อ.ป่าบอน ซึ่งจะมาเป็นกลุ่มก้อนที่ปริมาณไม่มาก …
เช่น ที่บ้านควนไทร หมู่ 4 ต.แม่ขรี เขตเทศบาลตำบลควนเสาธง ที่บ้านคลองนุ้ย หมู่ 5 ต.ตะโหมด เทศบาลตำบลเขาหัวช้าง อ.ตะโหมด เช่น ที่ บ้านเกาะทองสม หมู่ 1 ต.โคกม่วง เขตเทศบาลตำบลโคกม่วง อ.เขาชัยสน และที่ห้วยลึกบ้านเหมืองตะกั่ว ต.หนองธง องค์การบริหารส่วนตำบลหนองธง อ.ป่าบอน
โดยเฉพาะทั้ง 4 ชุมชนมาลายูปัตตานีบ้านควนไทร ปัจจุบันมีประมาณกว่า 70 ครัวเรือน ประมาณกว่า 300 คน บ้านคลองนุ้ยประมาณ 70-80 ครัวเรือน บ้านเกาะทองสม ประมาณ 30 ครัวเรือน และที่ห้วยลึกบ้านเหมืองตะกั่ว ประมาณ 20 ครัวเรือน โดยประมาณภาพรวมชาวมาลายูปัตตานีมีประมาณ 1,200 คน
“ชาวมาลายูปัตตานี และบางส่วนก็มาจาก จ.ยะลา จ.นราธิวาส จากจำนวน 4 ชุมชน อัตลักษณ์ดั่งเดิมได้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพสังคม แต่ยังเหลือชุมชนเดียวที่คงอนุรักษ์รักษาอัตลักษณ์มาลายูปัตตานี คือชุมชนมาลายูปัตตานีบ้านควนไทร ได้อย่างเหนี่ยวแน่น ทางด้านศาสนา การศึกษา สังคม วัฒนธรรม ตลอดจนถึงวิถีชีวิต”
ทางด้านภาษายังใช้ภาษามาลายูทั้งภาษาท้องถิ่นและภาษากลางในการสื่อสารพูดคุย การศึกษายังมีโรงเรียนตาฎีกา ซึ่งเป็นโรงเรียนสอนเด็กเล็ก ทางด้านอาหารการกินที่ไม่รสจัดไปทางค่อนข้างจะหวาน ส่วนอาชีพจะเป็นการเกษตร และและค้าขายและการใช้ชีวิตที่เรียบง่าย
“การประกอบอาชีพเป็นการเกษตร เช่น จะกรีดยาง ทำสวนผลไม้กันแทบทั้งหมด เมื่อถึงเวลาก็กลับมาทำพิธีทางศาสนาละหมาด เมื่อเสร็จแล้วก็จะเข้าสวนทำเกษตร หรือพักผ่อนส่วนสังคมก็จะภายในชุมชนจะไม่ค่อยออกห่างจากสังคมภายใน พูดได้ว่าชุมชนบ้านควนไทรจะรักษาอัตลักษณ์ชาวมาลายูปัตตานีได้เต็ม100 %”
ชุมชนมาลายูปัตตานีบ้านควนไทร ใช้ภาษายาวีมาลายูปัตตานีในการสังคมสื่อสารกันเองแต่กับสังคมกับภายนอกก็จะใช้ภาษาไทยได้ดี ในส่วนทางด้านการศึกษาของบุตรหลานนั้นจะให้เรียนโรงเรียนตาตีกาเมื่อจบการศึกษาก็จะส่งบุตรหลานเข้าโรงเรียนศาสนาและสามัญประจำพื้นที่ใกล้บ้าน และส่วนหนึ่งก็จะส่งไปเรียนยังบ้านเกิดที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส
นายแวอุเซ็ง สือนิ อิหม่ามมัสยิดมูฮายีรีน บ้านควนไทร หมู่ 4 ต.แม่ขรี เขตเทศบาลตำบลควนเสาธง อ.ตะโหมด จ.พัทลุง เปิดเผยว่า ชุมชนบ้านควนไทร ที่หมู่ 4 บ้านมาบ ต.แม่ขรี ได้เข้ามาตั้งรกรากตั้งแต่รุ่นพ่อแม่รวมแล้วจนถึงขณะนี้เป็น 100 ปีจนมาถึงรุ่นตนและชุมมุสลิมมาลายูปัตตานีบ้านควนไทร ก็ยังได้อนุรักษ์ศาสนา การศึกษา ภาษา วัฒนธรรม ฯลฯ เดิม ๆ ตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบันนี้ โดยเฉพาะทางด้านภาษายาวีมาลายูปัตตานีจะพูดได้กันทุกคน
ซึ่งในชุมชนสามารถพูดคุยสื่อสารกัยคนภายนอกได้ ได้ทั้งภาษายาวีท้องถิ่น ภาษายาวีกลาง มาลายูปัตตานีชุมชนบ้านควนไทร มีจำนวน 72 ครัวเรือน ประมาณ 350 คน ต่างพูดภาษายาวีมาลายูปัตตานีในการสื่อสารภายใน กิจกรรมภายใน ตลอดจนถึงการเรียนการสอนหนังสือในชุมชน
“มาลายูปัตตานีบ้านควนไทร แต่สำหรับบุคคลภายนอกหรือไปสังคมชุมชนอื่น ๆ ก็จะสามารถพูดคุยภาษาไทยและจะเข้ากันได้ดีด้วย”
ภาษาจะใช้ภาษายาวีมาลายูปัตตานีมีทั้งภาษาท้องถิ่น และภาษากลาง ยกตัวเช่นคำว่ามาแกคือภาษาท้องถิ่น ถ้าเป็นภาษากลางมากัน ที่แปลว่าการกินหรือรับประทาน เป็นต้น ภาษายาวีมาลายูปัตตานี จะใช้การสื่อสารพุดคุยในชุมชนมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 รัฐทางภาคเหนือประเทศมาเลเซียซึ่งรัฐระหว่างชายแดนไทย มาเลเซีย จะใช้ภาษยาวีมาลายูปัตตานี
“ภาษามาลายูปัตตานีจะใช้สื่อสารพูดคุยในกลุ่มประเทศอาเซียนกันเป็นส่วนมากคือประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย บรูไน และประเทศสิงคโปร์ ตลอดจนถึงประเทศฟิลิปินส์บางส่วน ภาษายาวีมาลายูปัตตานีแม้กระทั่งชาวต่างศาสนิกก็ยังมาเรียนศึกษาภาษยาวีกันมาก เหตุผลจะนำไปใช้ในการประกอบอาชีพ ประกอบธุรกิจ ทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ”
นายแวอุเซ็ง กล่าวว่า ยังจำไว้ที่ท่านอดีต ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการกลุ่มประเทศอาเซี่ยนได้กล่าวว่า ภาษายาวีมาลายูปัตตานี อ่านได้ เขียนได้ อย่าให้ลืมท่องให้จำ ตนจึงจะตั้งศูนย์ที่บริเวณมัสยิดเปิดศูนย์ศึกษาภาษายาวีมาลายูปัตตานีขึ้น และให้เป็นศูนย์กลางของพื้นที่ใกล้เคียง จ.พัทลุง เข้าศึกษาการเรียนการสอน ซึ่งจะเป็นประโยขน์อย่างมาก สามารถนำไปประกอบอาชีพการทำธุรกิจ ประกอบการค้าขาย ฯลฯ ในการสื่อสารพูดคุยกับนานาชาติ และขณะที่ชาวต่างชาติก็เดินทางเข้ามาดำเนินการธุรกิจ และเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย
“จะเห็นได้ว่าผู้มีความรู้ภาษยาวีมาลายูปัตตานี ต่างสามารถเดินทางไปประกอบอาชีพได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตอนนี้จะเห็นมาลายูปัตตานีจะหลั่งไหลเข้าสู่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา และจนถึงกรุงเทพฯ ฯลฯ เพราะได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เช่น ชาวมาเลเซีย สิงคโปร์ บรูไน และชาวอินโดนี ที่เดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทยและทางจังหวัดภาคใต้”
นายแวอุเซ็ง ยังกล่าวอีกว่า ทางด้านศาสนา วัฒนธรรม สังคม วิถีชีวิตก็ใช้เหมือนกับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งจะใช้ภาษายาวีมายูปัตตานี การแต่งกายก็ชุดมาลายายูปัตตานี เช่น สวมผ้าสะโหร่ง สวมเสื้อกุรง และสวมหมวกเกาะปิเยาะ ฯลฯ ทางด้านอาหารการกิน เวลาต้อนรับผู้มาเยือนก็จะเป็นข้าวยำน้ำบูดู น้ำชา กาแฟ
ทางด้านการศึกษา ศึกษาตากีในหมู่บ้าน แล้วไปโรงเรียนศึกษาสายสามัญและศาสนา และยังเรียนพื้นที่ใกล้เคียงหรือต่างจังหวัด และจำนวนหนึ่งก็ศึกษาถึงระดับปริญญาตรีถึงมหาวิทยาลัยและถึงต่างประเทศ เช่น ไปศึกษายังประเทศอียิปต์ ประเทศจอร์แดน โดยเฉพาะที่มหาวิทยาลัยอัซฮัร อียิปต์ ซึ่งจะได้รับความนิยม
ขณะที่ด้านสังคมนั้นอยู่ร่วมกับพหุสังคมต่างศาสนาต่างศาสนิกอย่างร่มรื่นสามัคคีและมีความเข้าใจกัน โดยไปมาหาสู่ซึ่งกันและมีการบอกงานกุศลซึ่งกันและกัน
“และเมื่อจัดงานการกุศลเพื่อสร้างมัสยิดประจำชุมชนที่ผ่านมาเมื่อเร็ว ๆ นี้ ก็มีต่างศาสนิกชาวไทยพุทธก็มาร่วมงานทำบุญกุศลด้วย ทั้งต่างจังหวัดด้วย”
นายแวอุเซ็ง กล่าวอีกว่า ในเรื่องการประกอบอาชีพจะไม่ต่างกับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เช่นเดียวกัน คือการเกษตรและค้าขายกัน โดยเฉพาะการเกษตรได้ยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง ซึ่งปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับชุมชนมาลายูปัตตานี
“ได้อนุรักษ์อัตลักษณ์มาลายูปัตตานีได้มาแล้วเกือบ 100 ปีมาจนถึงขณะนี้ของชุมชนบ้านควนไทร” นายแวอุเซ็ง กล่าวในท้ายสุด.