บทความทางกฎหมายโดยอัยการวรเทพ สกุลพิชัยรัตน์ เรื่อง “ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ”

บทความทางกฎหมายโดยอัยการวรเทพ สกุลพิชัยรัตน์

เรื่อง “ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ”

สืบเนื่องจากข่าว พนักงานสอบสวน บก.ป ได้ยื่นคำร้องฝากขังครั้งแรก นาย ษ. หรือ ทนาย ต.  ต้องหา คดีฉ้อโกง ฟอกเงิน และสมคบโดยตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๑พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินพ.ศ. ๒๕๔๒มาตรา (๑๘) มาตรา ๕ มาตราวรรคสองและมาตรา ๖๐ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๘๓ โดยคำร้องฝากขังของพนักงานสอบสวนได้บรรยายว่า การกระทำของนายทนาย ต .ผู้ต้องหาที่เป็นความผิดฐาน ฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระตามพระราชบัญญัติป้องกันและปรับปรามการฟอกเงิน พ.ศ. ๒๕๔๒อยู่นั้น

ทำให้สังคมงุนงงกับข้อหา “ ฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระว่า มีด้วยหรือ ?

มาดูข้อกฎหมายในเรื่องนี้กัน

ประมวลกฎหมายอาญา ความผิดฐานฉ้อโกง

         มาตรา ๓๔๑  ผู้ใด โดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือ ปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือ ทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม ทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานฉ้อโกง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินปี หรือ ปรับไม่เกิน ๖๐,๐๐๐ บาท  

           

หากจะพูดให้เข้าใจง่าย “ ฉ้อโกง”  คือ “หลอกลวงผู้อื่นแล้วได้ไปซึ่งทรัพย์สินของผู้ถูกหลอก”

        ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น :

มาตรา ๓๔๒  ถ้าในการกระทำความผิดฐานฉ้อโกง ผู้กระทำ

           (๑) แสดงตนเป็นคนอื่น หรือ

         (๒) อาศัยความเบาปัญญาของผู้ถูกหลอกลวงซึ่งเป็นเด็ก หรืออาศัยความอ่อนแอแห่งจิตของผู้ถูกหลอกลวง

             ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกิน๑๐๐,๐๐๐บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

        ฉ้อโกงประชาชน :    

มาตรา ๓๔๓  ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา ๓๔๑ ได้กระทำด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชน หรือด้วยการปกปิดความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชน ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินปี หรือปรับไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

        ถ้ากระทำความผิดฐาน ฉ้อโกงประชาชน” ดังกล่าวในวรรคแรก ต้องด้วยลักษณะดังกล่าวในมาตรา ๓๔๒ (๑) แสดงตนเป็นคนอื่น หรือ (๒) อาศัยความเบาปัญญาของผู้ถูกหลอกลวงซึ่งเป็นเด็ก หรืออาศัยความอ่อนแอแห่งจิตของผู้ถูกหลอกลวง

ผู้กระทำต้องระวางโทษ จำคุกตั้งแต่เดือนถึงปี และปรับตั้งแต่ ๑๐,๐๐๐ บาทถึง๑๔๐,๐๐๐  บาท

             

มาตรา ๓๔๘  ความผิดในหมวดนี้เป็นความผิดอันยอมความได้ ยกเว้น ความผิดตามมาตรา ๓๔๓ ( ฉ้อโกงประชาชน )

มีข้อสังเกตว่า เมื่อความผิดฐาน “ ฉ้อโกง” ( ยกเว้นความผิดฐาน ฉ้อโกงประชาชน ) เป็น “ ความผิดอันยอมความได้แล้ว ” ผู้เสียหายจะต้อง “ ร้องทุกข์ภายในกำหนด ๓ เดือน นับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิด  มิฉะนั้น เป็นอันขาดอายุความ ทั้งนี้ เป็นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๖

ไม่เห็นจะมี “ ฉ้อโกงอันเป็นปกติธุระ ” เลย  แล้ว “ ฉ้อโกงอันเป็นปกติธุระ” มาจากไหน ?

ฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ” นั้นจะอยู่ในกฎหมายฟอกเงิน ซึ่งเป็นมาตรการในการดำเนินคดีกับผู้โอน รับโอน ทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิด และการยึดอายัดทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิด

ทั้งนี้ คำว่า “ฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ” นั้นอาจมีความหมายความว่า เป็นบุคคลผู้มีหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นผู้จัดการมรดก หรือผู้จัดการทรัพย์สิน แล้วกระทำการฉ้อโกง โดยการหลอกลวง แล้วเอาไปซึ่งทรัพย์สินของบุคคลอื่น ไปจำนวนหลายครั้งหลายคราเป็นอาจิณ

ฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ บัญญัติอยู่ใน พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.๒๕๔๒ อันเป็นการผสมผสานระหว่างกฎหมายอาญาซึ่งเป็นกฎหมายทั่วไป และกฎหมายเฉพาะ ( พ.ร.บ.ฟอกเงินฯ) ทั้งนี้ เพื่อเป็นการตัดวงจรอาชญากรรม และเป็นการคุ้มครองให้ความเป็นธรรมกับประชาชน

   กระทำผิดฐานฉ้อโกง กี่ครั้ง ?   จึงจะถือว่า “เป็นปกติธุระ”

   ประมวลกฎหมายอาญา และ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.๒๕๔๒  ไม่ได้บัญญัติ บทนิยามความหมายของ คำว่า “ปกติธุระ” หรือ “ฉ้อโกงอันเป็นปกติธุระ”ว่ามีความหมายอย่างไร แล้วจะตีความอย่างไรว่าเป็น “ปกติธุระ”

สำนักงานคณะกรรการกฤษฎีกา ได้เคยมีเอกสารความรู้เกี่ยวกับการแบ่งประเภทความผิดอาญา

ความผิดเป็นปกติธุระคือ ความผิดที่ประกอบไปด้วยการกระทำที่มีพฤติกรรมการกระทำ

บ่อยๆ ซ้ำๆ จึงจะเข้าเป็นองค์ประกอบความผิดในความผิดฐานนั้นๆเช่น ประพฤติตนเป็น

ปกติธุระ เป็นผู้จัดหาที่พำนัก ที่ซ่อนเร้น หรือที่ประชุมให้บุคคลซึ่งตนรู้ว่าเป็นผู้กระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๑๔

​​

ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ เป็นความผิดอาญาที่อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายฟอกเงิน”ด้วย      

คำว่า ปกติธุระ หมายถึง กระทำซ้ำๆ กัน มากกว่า ครั้ง หรือ กระทำความผิดเป็น

สันดาน ในลักษณะที่จะทำต่อๆไป และ เจตนาจะทำอย่างสม่ำเสมอ

เปรียบเทียบความผิดและโทษ :

“ ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ” : ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.๒๕๔๒ มาตรา ๕, มาตรา ๙ วรรคสอง, มาตรา  ๖๐ คือ จำคุกตั้งแต่ ๑ ๑๐ ปี หรือปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐- ๒๐๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

แต่โทษความผิดฐาน “ฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑ จำคุกไม่เกินปี หรือ ปรับไม่เกิน ๖๐,๐๐๐ บาท  

ส่วนความผิดฐาน “ ฉ้อโกงประชาชน” ตามมาตรา ๓๔๓ มีอัตราโทษ จำคุกไม่เกินปี หรือปรับไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

จะเห็นได้ว่า “ ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ” : ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.๒๕๔๒ มาตรา ๖๐  มีโทษหนักกว่า “ ฉ้อโกง ” ตามประมวลกฎหมายอาญา

    มาดูกันว่า  ความผิดใดจะเป็น “ ความผิดมูลฐาน” ในอันที่จะเข้ากฎหมายฟอกเงิน

  พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.๒๕๔๒

มาตรา บทนิยามคำว่า “ความผิดมูลฐาน” มี ๒๑ มูลฐาน

(1) ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด
(2) ความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ หรือความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาในความผิดเกี่ยวกับเพศ
(3) ความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา หรือ ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ( หรือ แชร์ลูกโซ่ )
(4) ความผิดเกี่ยวกับการยักยอกหรือฉ้อโกงหรือประทุษร้ายต่อทรัพย์หรือกระทำโดยทุจริตตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงินหรือกฎหมายว่ด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งกระทำโดยกรรมการ หรือผู้จัดการ หรือบุคคลใด ซึ่งรับผิดชอบหรือมีประโยชน์เกี่ยวข้องในการดำเนินงานของสถาบันการเงินนั้น
(5)    ………………..

       (๑๘) ความผิดเกี่ยวกับการลักทรัพย์ กรรโชก รีดเอาทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฉ้อโกง หรือยักยอก ตามประมวลกฎหมายอาญาอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ

 

จะเห็นได้ว่า ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ” และ การฟอกเงิน มีความเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด เนื่องจากการ  “ ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ” นั้น มักจะมีการหมุนเวียนทรัพย์สินอย่างซับซ้อน ทั้งนี้ เพื่อหลีกเลียงการติดตามและปิดบังแหล่งที่มาของทรัพย์สินที่ได้มาโดยไม่ชอบธรรม

ส่วนการฟอกเงินเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงหรือแปรรูปทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำผิดกฎหมาย เช่น ฉ้อโกง เพื่อให้ดูเหมือนเป็นทรัพย์สินที่ถูกกฎหมาย ซึ่งมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและสิทธิของเจ้าหนี้ที่มีสิทธิ์ได้รับการชำระหนี้

 

พฤติกรรมที่อาจเป็นข้อบ่งชี้ให้เห็นว่า ความผิดฐานฉ้อโกงตามกฎหมายอาญา อาจเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินเช่น

(1) การโอนเงินผ่านหลายบัญชี เมื่อลูกหนี้ทำการฉ้อโกงและโอนเงินผ่านบัญชีหลายชั้น เพื่อกระจายเงินและทำให้ติดตามแหล่งที่มายากขึ้น เจ้าหนี้ควรตรวจสอบการโอนเงินที่มีลักษณะซับซ้อน
(2)  “การลงทุนในทรัพย์สินอื่น ๆ การใช้เงินที่ได้จากการฉ้อโกงเพื่อซื้อทรัพย์สินหรือธุรกิจเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่ผู้กระทำการฟอกเงินใช้เพื่อปกปิด ที่มาของเงิน เจ้าหนี้ควรระวังเมื่อลูกหนี้มีการซื้อทรัพย์สินในลักษณะนี้
(3) การสร้างธุรกรรมปลอม การสร้างธุรกรรมปลอมเป็นการกระทำที่พบได้บ่อย โดยผู้ที่กระทำการฟอกเงินอาจสร้างธุรกรรมทางการเงินที่ไม่สมจริงเพื่อทำให้เงินดูเป็นเงินที่ถูกกฎหมาย

การฉ้อโกงเป็นปกติธุระ จึงเป็นการกระทำที่กำหนดในพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยในมาตรา ๓ (๑๘)  ซึ่งกำหนดว่าการกระทำใด ๆ ที่มีการซ่อน หรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำผิดกฎหมายจะถือเป็นการฟอกเงิน

 

แม้ผู้กระทำผิดจะกระทำผิดฐาน “ ฉ้อโกง” ด้วยการแสดงข้อความเท็จ ปกปิดความจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ แล้วได้ไปซึ่งทรัพย์สินของผู้ถูกหลอก (ผู้เสียหาย ) จำนวนหลายครั้ง ต่างวันและต่างเวลากันก็ตาม อีกทั้งเมื่อโจทก์จะฟ้องจำเลย ก็ได้ฟ้องจำเลยขอให้ศาลลงโทษจำเลยเป็น                 “ รายกรรม” หรือ “รายกระทง” ก็ตาม  แต่จำนวนหลายกรรมตามฟ้อง ก็หาได้หมายความว่าเป็น “กระทำผิดเป็นปกติธุระ” ไม่หากแต่จะต้องได้ความว่า “ หลายครั้งหลายคราเป็นอาจิณ”

การดำเนินคดีฐาน “ ฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ” จึงจำเป็นต้องดำเนินคดีกับผู้ต้องหาหรือจำเลยในความผิดตามกฎหมายฟอกเงินด้วย

ความจริงแล้ว ความผิดฐาน “ ฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ” นั้น ไม่ใช่เพิ่งจะมีหรือเกิดขึ้นในคดีนี้ หรือ คดีทนาย ต. เป็นคดีแรก  หากแต่ก่อนหน้านั้นก็เคยมีการบังคับใช้กฎหมายฟอกเงินในฐานความผิด “ ฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ” มาแล้ว เช่น ในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ก็ได้มี

คำสั่งสั่งเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินที่ ย.๒๔๘ / ๒๕๕๙

เรื่อง อายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราว ลงวันที่  ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๙

ฤติการณ์ของนางสาว ก. มีการเปิดบัญชีเงินฝากหลายธนาคาร และมีการทำธุรกรรมทางการเงินลักษณะโอนเงินเข้าบัญชีและถูกทยอยถอนเงินทางเครื่องให้บริการทางการเงินอัตโนมัติจนเกือบหมดภายในวันเดียวกัน ประกอบกับเมื่อพิจารณาจากผู้ที่แจ้งความกับเจ้าพนักงานตำรวจก็พบว่า อยู่ในท้องที่ต่างกัน โดยมีพฤติการณ์คล้ายคลึงกัน คือ การหลอกลวงให้โอนเงินและทำการถอนเงินออกภายในระยะเวลาไม่นาน ซึ่งพฤติการณ์ของนางสาว ก. กับพวก เป็นพฤติการณ์ที่แสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ โดยมุ่งที่จะได้เงินหรือทรัพย์สินจากผู้แจ้งความ เป็นการแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ทำให้ผู้แจ้งความต้องสูญเสียเงินจากการหลอกลวงดังกล่าว พฤติการณ์จึงเป็นการกระทำความผิดฐานถ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา และเมื่อมีการหลอกลวงผู้ร้องเรียน หลายคนในหลายพื้นที่ ให้โอนเงินไปยังบัญชีเงินฝากที่เปิดไว้เพื่อรองรับเงินของผู้แจ้งความ พฤติการณ์จึงมีลักษณะกระทำความผิดซ้ำ ๆ อันมีลักษณะเป็นปกติธุระอันเข้าลักษณะเป็นความผิดมูลฐานตามนัย มาตรา ๓ (๑๘)

   คำสั่งสั่งเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน  ฉบับนี้จะอธิบายคำว่า “ ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ” ได้ดี และเห็นความหมาย

    การที่พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาแก่ ทนาย ต. ว่ากระทำผิดฐาน ฉ้อโกง, ฟอกเงิน และ สมคบโดยตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๑ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินพ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๓ (๑๘) มาตรา ๕ มาตรา ๙ วรรคสองและมาตรา ๖๐ ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๘๓ โดยคำร้องฝากขังของพนักงานสอบสวนได้บรรยายว่า การกระทำของนายทนาย ต .ผู้ต้องหาที่ ๑ เป็นความผิดฐาน “ ฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ” ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปรับปรามการฟอกเงิน พ.ศ. ๒๕๔๒ นั้น           จึงไม่ใช่เรื่องใหม่ หรือเป็นข้อหาใหม่แต่อย่างใด  หากแต่เป็นการบูรณาการการใช้กฎหมายระหว่างกฎหมายอาญา กับกฎหมายฟอกเงิน เพื่อตัดวงจรอาชญากรรมและเป็นการคุ้มครองให้ความเป็นธรรมกับสุจริตชน

อ่านมาถึงบรรทัดนี้ ท่านคงถึง บางอ้อ……..

ส่วนทนายคนดัง จะรอด หรือ ไม่รอด คงต้องติดตามตอนต่อไป

***** นายวรเทพ สกุลพิชัยรัตน์

       อัยการศาลสูงจังหวัดสมุทรปราการ

       (อดีต) รองประธานคณะอนุกรรมาธิการการศึกษาการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน ( คนที่สอง ) ในคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน  สภาผู้แทนราษฎร ( สมัยที่ ๒๕)

๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๗

Related posts