Ch-newsthailand.com คดีรีดทรัพย์อธิบดีกรมการข้าว : “ศรีสุวรรณ – เจ๋ง ดอกจิก” ข้อหา คำพิพากษา และ ประเด็นอุทธรณ์ที่สังคมต้องจับตา

บทความทางกฎหมาย โดยอัยการวรเทพ สกุลพิชัยรัตน์ *

เรื่อง  คดีรีดทรัพย์อธิบดีกรมการข้าว : “ศรีสุวรรณ เจ๋ง ดอกจิก” ข้อหา คำพิพากษา และ            ประเด็นอุทธรณ์ที่สังคมต้องจับตา

คดีรีดทรัพย์อธิบดีกรมการข้าว ซึ่งมีนักเคลื่อนไหวชื่อดังอย่างพี่ศรี (นายศรีสุวรรณ ) และ         พี่เจ๋ง (นายยศวริศ หรือ “เจ๋ง ดอกจิก”)  อดีตแกนนำเสื้อแดง เป็นจำเลย ได้รับความสนใจจากสังคมอย่างกว้างขวาง คำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่ผ่านมาไม่เพียงแต่ชี้ชะตากรรมของจำเลยเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการปราบปรามการทุจริตและสร้างบรรทัดฐานทางกฎหมายที่สำคัญ

ข้อหาและคำให้การของจำเลย : การรีดทรัพย์ที่ถูกปฏิเสธ

คดีนี้ พนักงานอัยการคดีปราบปรามการทุจริต 3 เป็นโจทก์ฟ้อง นายยศวริศ หรือเจ๋ง ดอกจิก (จำเลยที่ 1), นายศรีสุวรรณ (จำเลยที่ 2), นางสาว พ. (จำเลยที่ 3), นาย อ. (จำเลยที่ 4) และ นาง ณ. (จำเลยที่ 5) ซึ่งเป็นภรรยาของจำเลยที่ 2. ต่อ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ อท. 182/2567 ในข้อหา “เรียกรับทรัพย์สินจาก นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว จำนวน 3 ล้านบาท ก่อนต่อรองเหลือ 1.5 ล้านบาท เพื่อแลกกับการไม่ต้องถูกร้องเรียน”

มาดูฐานความผิดของจำเลยทั้งห้า ที่ถูกฟ้องต่อศาล :

จำเลยที่ 1 (นายยศวริศ) ถูกฟ้องในความผิดฐาน ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยร่วมกระทำความผิดตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป และฐาน เป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติในตำแหน่งหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ รวมถึงเป็น เจ้าพนักงานของรัฐ เรียกรับหรือยอมรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองและผู้อื่นโดยมิชอบซึ่งเป็นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคสอง, 337 วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172, 173

จำเลยที่ 2 ถึงจำเลยที่ 5 (นายศรีสุวรรณ, นางสาว พ., นาย อ.และนาง . ) แม้จะไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ แต่การกระทำของพวกเขานั้นศาลเห็นว่าเป็นการ ช่วยเหลือหรือให้ความสะดวก”  แก่จำเลยที่ 1 ในการทำผิด จึงต้องรับผิดฐานเป็น ผู้สนับสนุนการกระทำผิดของจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคสอง, 337 วรรคแรก ประกอบมาตรา 83และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172, 173 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 86

จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยนายศรีสุวรรณกล่าวอ้างว่า คดีนี้เป็น“คดีการเมือง ” ที่มีผู้มีอำนาจต้องการ “เตะตัดขา” ตน และมองว่ามีการใช้เทคนิค “ล่อให้กระทำความผิด” เช่น การนำถุงเงินไปแขวนหน้าบ้าน

คราวนี้มาดู คำพิพากษาของศาลชั้นต้น :

ศาลได้พิเคราะห์ คำเบิกความและพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายที่นำสืบหักล้างกันแล้ว และเห็นว่า มีพยานหลักฐานที่แน่นหนาและน่าเชื่อถือ ที่บ่งชี้ว่า จำเลยทั้งหมดกระทำความผิดจริงตามฟ้อง และ ข้อต่อสู้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น

พยานหลักฐานสำคัญที่ศาลใช้ในการพิจารณา ได้แก่:

1. หลักฐานการเรียกรับทรัพย์สิน : ศาลมีหลักฐานเป็น คลิปเสียง, คลิปภาพ, ข้อความแชทในแอปพลิเคชัน LINE และหมายเลขธนบัตร ที่นำไปมอบให้ จำเลยที่ 2. (นายศรีสุวรรณฯ) ที่บ้านพัก ซึ่งเป็นหมายเลขเดียวกันกับที่ภรรยาของอธิบดีกรมการข้าวเบิกจากธนาคารมาเพื่อเป็นหลักฐานในการส่งมอบเงิน

2. คลิปบันทึกภาพและเสียง รวม 40 คลิป : จากภรรยาของผู้เสียหาย ซึ่งศาลได้ส่งตรวจพิสูจน์แล้วพบว่า ไม่มีการตัดต่อ และจำเลยที่ 1-3 ก็ไม่ได้ปฏิเสธ คลิปและภาพดังกล่าว

ลำดับเหตุการณ์ที่สอดคล้อง : คลิปและภาพดังกล่าวแสดงเหตุการณ์เป็นลำดับขั้นตอนที่สอดคล้องกับการเบิกความของผู้เสียหายและภรรยา จึงมีน้ำหนักรับฟังและน่าเชื่อถือ

พฤติการณ์ที่สื่อแสดงว่า จำเลยที่ 1 – ที่ 5 ร่วมกันกระทำความผิด :

จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 แถลงข่าวที่รัฐสภาว่ากรมการข้าวมีการทุจริต

มีการโทรศัพท์กลับไปหาผู้เสียหายเพื่อจูงใจให้ยอมจ่ายเงิน เพื่อไม่ให้เสียชื่อเสียง

จำเลยที่ 3 โทรหา ภรรยาผู้เสียหายเพื่อเรียกเงิน โดยมีการต่อรองจนเหลือ 1.5 ล้านบาท

มีหลักฐานจากบทสนทนาในแอปพลิเคชัน LINE เกี่ยวกับการนัดหมายและเรียกรับเงินหลายครั้ง ซึ่งเชื่อมโยงจำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 5 รวมถึงหลักฐานการ       โอนเงิน

ในวันที่ 26 มกราคม 2567 ภรรยาผู้เสียหายได้นำเงิน 5 แสนบาทใส่ถุงพลาสติกไปแขวนไว้ ที่หน้าประตูบ้านจำเลยที่ 2และจำเลยที่ 5 ได้นำถุงกลับเข้ามาในบ้านโดยหยิบใส่ถุงพลาสติกสีดำในลักษณะปกปิด ซึ่งศาลเห็นว่า เป็นการแสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 5 ทราบว่า เงินดังกล่าวมีที่มาที่ไปอย่างไร

   จากพฤติการณ์ของจำเลยทั้งห้าดังกล่าว  ศาลจึงเห็นว่าเป็นการ ร่วมกัน กระทำความผิดโดย  แบ่งงานแบ่งหน้าที่กันทำ

บทลงโทษที่ศาลตัดสิน:

จำเลยที่ 1 (นายยศวริศ ) จำคุกมีกำหนด 6 ปี และเมื่อรวมโทษจำคุกในคดีคาร์ม็อบอีก        2 คดี ทำให้มีโทษจำคุก รวม 6 ปี 4 เดือน

จำเลยที่ 2 ถึงจำเลยที่ 5 (นายศรีสุวรรณ , นางสาว พ. , นาย อ. และนาง . ) จำคุกคนละ 4 ปี นอกจากนี้ ศาลยังสั่งให้ริบเงิน 160,000 บาทที่จำเลยได้มาจากการกระทำความผิด และให้จำเลยทั้งห้าร่วมชำระดอกเบี้ยหากไม่ชำระเงินดังกล่าว และต่อมาศาลได้อนุญาตให้จำเลยทั้งห้าได้รับการประกันตัวระหว่างอุทธรณ์ โดยวางหลักทรัพย์คนละ 6 แสนบาท พร้อมเงื่อนไขห้ามออกนอกประเทศ

ประเด็นอุทธรณ์ของจำเลย : การต่อสู้ของจำเลยในชั้นศาลสูง

แม้ศาลชั้นต้นจะตัดสินว่า จำเลยทั้งห้ามีความผิดตามฐานความผิดดังกล่าว แต่จำเลยทั้งห้าต่าง ให้การปฏิเสธ และ ( ตามข่าว ) จำเลยจะใช้สิทธิ์ในการยื่นอุทธรณ์ โดยมีประเด็นหลักในการต่อสู้ดังนี้ :

จำเลยที่ 2. (นายศรีสุวรรณฯ) : ยังคงยืนยันว่าเป็น “คดีการเมือง” และเชื่อว่ามีการ “ล่อให้

กระทำความผิด” และตั้งข้อสังเกตว่า พยานหลักฐานที่ตำรวจรวบรวมมานั้นเป็นของฝ่ายตำรวจทั้งหมด และศาลไม่ได้นำข้อเท็จจริงในส่วนของตนมาพิจารณา จึงเชื่อว่า ศาลอุทธรณ์จะพิจารณาข้อเท็จจริง          อีกครั้ง

จำเลยที่ 1. ( นายยศวริศ ฯ ) : ประเด็นที่จำเลยที่ 1. จะอุทธรณ์คือ สถานการเป็น                    เจ้าหน้าที่รัฐ โดยจำเลยที่ 1. (นายยศวริศ) เห็นว่า ตนเองไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐเนื่องจากการ      แต่งตั้งโดยนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค นั้นเป็น การแต่งตั้งเฉพาะตัว และ  “ไม่ได้รับเงินเดือน หากศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยที่ 1.ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ ก็อาจส่งผลต่อบทลงโทษของศาลก็ได้

นอกจากนี้ ยังมีประเด็น จำเลยที่ 1. (นายยศวริศ ฯ) ต่อสู้ว่า ตนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือความ เชื่อมโยงกับจำเลยที่เหลือ และไม่เคยได้รับผลประโยชน์ใดๆ

คดีนี้ เกี่ยวข้องกับความผิดทางอาญาหลายฐาน ซึ่งมีประเด็นทางกฎหมายที่น่าสนใจ :

1. ความผิดฐาน ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 และ 337 ) :

    มาตรา 309 วรรคสอง ผู้ใด ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการ ไม่กระทำการ หรือจำยอมต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจ หรือของบุคคลที่สาม ถ้าความผิดนั้นได้กระทำโดยมีอาวุธ หรือโดยร่วมกระทำความผิดตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป ต้องระวางโทษหนักขึ้น ในคดีนี้ จำเลยมีถึง 5 คน จึงเข้าข่ายโทษที่หนักขึ้น

    มาตรา 337 วรรคแรก ผู้ใด ข่มขืนใจให้ผู้อื่นให้ยอมให้ หรือยอมจะให้ตน หรือผู้อื่น                                                                                                                                                                 ได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพยสิน โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญ หรือของบุคคลที่สาม เพื่อให้ผู้ถูกขู่เข็ญยอมให้ หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน ซึ่งเป็นการกระทำที่มุ่งหวังผลประโยชน์ในทรัพย์สินโดยมิชอบ

    มาตรา 83 (ตัวการร่วม ): ถ้าการกระทำความผิดใดมีคน ตั้งแต่สองคนขึ้นไป เป็นผู้กระทำความผิดด้วยกัน ผู้ที่ได้กระทำความผิดแต่ละคนเป็นตัวการ

2. ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ (พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 และ 173):

    มาตรา 172 : เจ้าพนักงานของรัฐ”  ผู้ใดปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

    มาตรา 173 : เจ้าพนักงานของรัฐ  ผู้ใด เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่

    ประเด็นสำคัญคือ สถานการณ์เป็น “เจ้าพนักงานของรัฐ :

คดีนี้ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1. ( นายยศวริศ ) ซึ่งเป็นคณะทำงานตรวจราชการที่ 11 และได้รับมอบอำนาจทางปกครอง ถือเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐการวินิจฉัยนี้ส่งผลให้ จำเลยที่ 1 ต้องรับโทษในฐานความผิดที่หนักขึ้น อันเนื่องจากการเป็น “ เจ้าหน้าที่ของรัฐ” ดังกล่าว

ส่วน จำเลยที่ 2ที่ 5 แม้จะไม่ได้มีฐานะ “ เป็นเจ้าหน้าที่รัฐแต่ต้องรับผิดในฐานะ                 ผู้สนับสนุน” การกระทำความผิดของเจ้าพนักงานของรัฐ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86

ประเด็นนี้ หากต่อมา ศาลอุทธรณ์มีความเห็นแตกต่างจากศาลชั้นต้นว่า จำเลยที่ 1. ไม่ได้เป็น “ เจ้าหน้าที่ของรัฐ” อาจส่งผลกระทบต่อ ทั้งบทลงโทษและภาพรวมของคดี

สังคมไทยได้อะไรจากเรื่องนี้?

คดีรีดทรัพย์อธิบดีกรมการข้าว”  เป็นกรณีศึกษาที่สำคัญและส่งผลกระทบต่อสังคมไทยในหลายมิติ :

1. การบังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอภาค : คดีนี้ตอกย้ำหลักการว่า ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นบุคคลสาธารณะ นักเคลื่อนไหว หรือผู้ที่เคยมีบทบาทในการตรวจสอบ การที่ศาลตัดสินจากพยานหลักฐานที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือ แสดงให้เห็นว่าไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมายได้

2. สร้างบรรทัดฐานในการตรวจสอบการทุจริต : คดีนี้เป็น บรรทัดฐานสำคัญ ในการปราบปรามการเรียกรับผลประโยชน์โดยมิชอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากผู้ที่อ้างตนเป็น “นักตรวจสอบ” มันส่งสัญญาณว่า การทำหน้าที่ตรวจสอบจะต้องอยู่บนพื้นฐานของความสุจริตและความโปร่งใสไม่ใช่ เพื่อหาผลประโยชน์ส่วนตน หรือ ใช้เป็นเครื่องมือในการรีดไถ

3. ส่งเสริมความโปร่งใสและธรรมาภิบาล : คดีนี้กระตุ้นให้สังคมตระหนักถึงความจำเป็นที่           ทั้ง เจ้าหน้าที่รัฐ และ ผู้ที่มาทำหน้าที่ตรวจสอบ  ต้องมีความโปร่งใส และสามารถถูกตรวจสอบได้เช่นกัน

การมีหลักฐานที่แน่นหนาในคดีนี้ เช่น คลิปเสียง คลิปภาพ และข้อความแชท LINE เป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้เทคโนโลยีในการสร้างความโปร่งใสและเป็นหลักฐานในการเอาผิด

3. ความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม : แม้จำเลยจะโต้แย้งว่าเป็นคดีการเมืองหรือมีการล่อให้กระทำความผิด แต่ศาลได้พิจารณาจากพยานหลักฐานที่ครบถ้วน การตัดสินที่หนักแน่นจากศาลชั้นต้นนี้ ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนว่า กระบวนการยุติธรรมสามารถทำงานได้อย่างเป็นอิสระและยุติธรรมในการต่อสู้กับการทุจริต

4. การตระหนักถึงภัยของการ “รีดไถ” ในรูปแบบใหม่ : คดีนี้เผยให้เห็นถึงรูปแบบการเรียกรับผลประโยชน์ที่อาจแอบแฝงมากับการทำหน้าที่ “ตรวจสอบ” ซึ่งเป็นประเด็นที่สังคมต้องเฝ้าระวังและทำความเข้าใจ เพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีกในอนาคต

กล่าวโดยสรุปแล้ว คดีนี้ไม่ใช่เพียงแค่การพิจารณาคดีอาญา แต่เป็นบทเรียนที่สำคัญสำหรับสังคมไทยในการสร้างมาตรฐานการกำกับดูแล การตรวจสอบ และการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรมและโปร่งใส เพื่อให้ระบบราชการและสังคมโดยรวมปราศจากการทุจริตและการใช้อำนาจโดยมิชอบ

นายวรเทพ  สกุลพิชัยรัตน์

อัยการศาลสูงจังหวัดสมุทรปราการ

(อดีต) รองประธานคณะอนุกรรมาธิการการศึกษาการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน ( คนที่สอง ) ในคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน  ในสภาผู้แทนราษฎร ( สมัยที่ 25)

18 กันยายน 2568

Related posts