ปัตตานี – ญาติตำรวจปลอมรุดแจ้งความ เอาผิดเจ้าหน้าที่ กรณีซ้อมผู้ต้องหาในระหว่างสอบขยายผล ขั้นหามเข้าโรงพยาบาลกลางดึก
เมื่อวันที่ 21 ก.ย.2564 ผู้สื่อข่าวจากรรณีที่มีการเผยแพร่ตามสื่อว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้า จับกุมผู้ต้องหา 5 คนที่แอบอ้างตัวว่าเป็นตำรวจได้เข้ามาในพื้นที่บริเวณ ม.3 บ้านปาตาบูดี ต.แหลมโพธิ์ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี โดยมีพฤติกรรมแต่งตัวเลียนแบบคล้าย เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาทำการตรวจค้นกลุ่มวัยรุ่น ภายใน ริมทะเล รีสอร์ท แล้วพยายามรีดไถเงินจากผู้ที่ถูกตรวจค้น จึงมีการวางกำลังของฝ่ายปกครองในพื้นที่เพื่อทำการสกัดรถยนต์ต้องสงสัย จึงสามารถเข้าจับกุม ทั้ง 5 ราย ก่อนแจ้งประสานยังสถานีตำรวจภูธรยะหริ่งเข้ามารับตัวไปสอบสวนต่อไป จำนวน 5 ราย ประกอบด้วย นายสุกรี เจ๊ะเต๊ะ ที่ นายกามี สามะ นายอุสมาน ยามา นายบัสมี บากา และนายฮากีมี หวังพึ่งฉาย เหตุเกิดเมื่อช่วงเช้ามืดของวันที่ 20 ก.ย.ที่ผ่านมา
จนกระทั่งล่าสุด นายกอดือรี หวังพึ่งฉาย อายุ 49 ปี พ่อของนาย ฮากีมี หวังพึ่งฉาย 1 ในผู้ต้องหา ได้เดินทางไปยังสถานีตำรวจถูธรยะหริ่ง จ.ปัตตานี เพื่อดำเนินการแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ หลังจากที่นาย ฮากีมี ลูกชายต้องถูกหามตัวส่งโรงพยาบาลยะหริ่ง ในสภาพที่ตาบวม สมองได้รับการกระทบกระเทือน และมีรอยคล้ายถูกตีที่บริเวณหลัง ทำให้ได้รับบาดเจ็บ และถูกนำตัวส่งต่อที่โรงพยาบาลปัตตานี โดยนายกอดือรี ได้เข้าพบกับลูกชายแล้ว และอ้างว่า ลูกชายได้บอกกับตนว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ซ้อมลูกชายจนได้รับบาดเจ็บ โดยการนำเอากล้วยยัดเข้าไปในปาก และมีการตีลูกชาย จนได้รับบาดเจ็บดังกล่าว ซึ่งตนเดินทางมาเพื่อร้องความเป็นธรรมกับกรณีดังกล่าว
ด้านนายกอดือรี หวังพึ่งฉาย อายุ 49 ปี กล่าวว่า ตนเองไม่ทราบเรื่องว่าลูกชายของตนเองโดนจับ มารู้ตอนประมาณ 9 โมงเช้าของวันที่ 20 ก.ย. โดยลูกสาวโทรมาบอก ว่าลูกถูกจับเพราะปลอมเป็นเจ้าหน้าที่ ตอนนี้อยู่โรงพักยะหริ่ง เมื่อรู้ข่าวตนเองเดินทางมาที่โรงพักทันที เมื่อมาถึง ทางเจ้าหน้าที่ยังไม่ให้พบเจออ้างว่ายังสอบสวนไม่เสร็จ จะเจอได้ก็ช่วงเย็น พอบ่าย 3 ตนกับภรรยาก็เดินทางมาที่โรงพัก เพื่อมาเยี่ยม เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าลูกชายตนอยู่ห้องด้านหลัง แต่จู่ๆ ก็ได้รับโทรศัพท์จากญาติว่า ลูกชายตนอยู่ที่โรงพยาบาลยะหริ่ง ตนกับภรรยาก็ตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ได้สอบถามความจริงกับเจ้าหน้าที่ว่าเกิดอะไรขึ้น
ตนนี้ลูกชายตนอยู่ที่ไหนกันแน่ ให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ ซึ่งปรากฏว่าลูกชายตนอยู่ที่โรงพยาบาล ตนจึงได้ไปดูลูกชาย และสอบถามหมอว่า ลูกชายถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลช่วงบ่าย 2 ตนจึงแปลกในว่า ถ้าลูกชายถูกซ้อมที่เกิดเหตุ น่าจะมีการส่งโรงพยาบาลตั่งแต่แรก แต่กลับส่งตัวตอนบ่าย 2 ทำให้น่าสงสัยว่าใครทำให้ต้องมีการนำตัวส่งโรงพยาบาลกันแน่ ตนจึงเดินทางไปพบลูกชาย พบว่า มีการกระทบกระเทือนสมอง จมูกหัก และบริเวณด้านหลังพบรอยแผลถูกตีด้วยไม้ และยังพบกล้วยอยู่ในปากคอนมาถึงโรงพยาบาล จนกระทั่งอ้วกออกมา ตนจึงเชื่อว่า ลูกชายตนโดนซ้อม ตนจึงมาแจ้งความขอความเป็นธรรมในครั้งนี้
นอจากนี้ผู้สื่อข่าวได้พบกับญาติของผู้ต้องหาอีก 4 ราย ที่ได้เดินทางมาเยี่ยมที่โรงพักยะหริ่ง โดยทางญาติได้ขอร้องต่อสื่อขอความเป็นธรรมในกรณีที่ผู้ต้องหาอีก 4 รายถูกจับในครั้งนี้ โดยญาติทั้ง 4 รายได้พูดในทิศทางเดียวกันว่า ญาติของตนถูก นายฮากีมี หลอกมา เนื่องจากหลงเชื่อว่า นายฮากีมี เป็นเจ้าหน้าที่จริง
โดยญาติได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า นายฮากีมี ได้เดินทางมาชักชวนญาติของตนไปทำงาน โดยอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ โดยมารับถึงที่บ้าน มากับรถที่ถูกจับ ญาติตนก็ขัดไม่ได้ก็ไปด้วย โดยไม่ได้บอกว่าเป็นไหน แต่คิดว่าจะไปช่วยในเรื่องการตั่งด้านช่วงโควิด 19
ญาติของผู้ต้องหาอีก 1 รายกล่าวว่า ญาติของตนเองตกเป็นเหยื่อ ผู้ต้องหา 4 คนตกเป็นเหยื่อของผู้ต้องหา 1 ราย โดยแอบอ้างว่าตนเองมีตำเหน่ง ในราชการ แต่ด้วยความเป็นเพื่อน รู้จักกัน ไปช่วยงานทำโดยไม่รู้ว่าเป็นงานอะไร ทุกคนถูกหลอกหมด ก็ขอให้ความเป็นธรรมกับผู้ต้องหาทั้ง 4 ราย เพราะไม่มีใครรู้ว่าถูกหลอกอยู่
พ.ต.อ.มุสตอพา มะนิ ผกก.สภ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี เปิดเผยว่า ในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชา เบื้องตนให้ทางพนักงานสอบสวนรับแจ้งความไปก่อน ตามระเบียบ หลังจากนี้ก็จะได้มีการสอบสวนข้อเท็จจริง ตามที่พ่อของผู้ต้องหาเข้าไปแจ้งความว่า มีความเสียหายอย่างไร สำหรับผู้ต้องรายนี้ ในวันที่จับกุม ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าไปหลังจากที่ได้รับแจ้งจากทางผู้นำหมู่บ้าน ตอนเจ้าหน้าที่เข้าไปไม่ทราบว่ามีพี่น้องประชาชน ซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุจำนวนมาก น่าจะมีการกระทบกระทั่ง ระว่างทางที่ทางเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบในที่เกิดเหตุ
โดยได้แจ้งขอหาทั้ง 5 รายหลายข้อหา ก็คือ ขอหาร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่น ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขัง ร่วมกันแสดงตัวเป็นเจ้าพนักงาน ข้อหาผิด พรบ.ฉุกเฉิน และ ซ่องโจร และร่วมกันมียุทธภัณฑ์ ซึ่งมีหลายข้อหาด้วยกัน โดยเฉพาะนายฮากีมี ทราบว่าเคยก็เหตุลักษณะเช่นนี้แล้วมาหลายพื้นที่ ซึ่งจะดำเนินการตรวจสอบอีกหาข้อเท็จจริงอีกครั้ง