กมธ.ศาสนาฯวุฒิสภาเดินหน้าแก้วิกฤติศรัทธาศาสนา เปิดเสวนาหน่วยงานรัฐออกก.ม.อุดช่องโหว่เอาผิดสื่อฯ”ละเมิด”

ปัจจุบันนับได้ว่าเทคโนโลยีสารสนเทศและสื่อดิจิทัลได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ การเผยแพร่ภาพ เสียง และเนื้อหาผ่านสื่อออนไลน์ดำเนินไปอย่างรวดเร็วและไร้ขอบเขตจำกัด ปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้ มิได้ส่งผลกระทบจำกัดอยู่แค่ในมิติทางเศรษฐกิจหรือความบันเทิงเท่านั้น หากแต่ลุกลามไปสู่มิติของความศรัทธาและความเชื่อทางศาสนา ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญของสังคมและวัฒนธรรมไทย ความท้าทายที่สำคัญที่สุดคือ การบิดเบือนและการล้อเลียนบุคคลสำคัญทางศาสนา รวมถึงการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้สร้างสื่อที่ผิดเพี้ยน บิดเบือน หรือหมิ่นศาสดาของศาสนาต่าง ๆ สื่อเหล่านี้เผยแพร่ไปสู่สาธารณะได้อย่างรวดเร็วเกินกว่ากลไกการกำกับดูแลจะควบคุมได้ทันการณ์

ล่าสุด ที่อาคารรัฐสภา คณะอนุกรรมาธิการด้านศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ในคณะกรรมาธิการการศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะและวัฒนธรรม วุฒิสภา ได้เล็งเห็นว่า หากปล่อยให้เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นซ้ำๆ ขึ้นโดยไม่แก้ไขใดๆ จะส่งผลถึงความเปราะบางด้านศาสนา จึงจำเป็นเร่งด่วนในการพัฒนากฎหมายและมาตรการเชิงนโยบายให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี  จึงได้จัดงานเสวนาทางวิชาการขึ้น ในหัวข้อเรื่อง “ทัศนคติและบทบาทของหน่วยงานภาครัฐเชิงบูรณาการ : แนวทางปฏิบัติและการจัดการปัญหาละเมิดศาสนาในสื่อสมัยใหม่เพื่อธํารงศรัทธาในสังคมไทยอย่างยั่งยืน” เพื่อเป็นเวทีในการรับฟังความคิดเห็น วิเคราะห์ข้อจำกัดทางกฎหมาย

และเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐในการกำหนดมาตรการเชิงบูรณาการ เพื่อคุ้มครองศรัทธาทางศาสนาร่วมกัน โดย นายบุญส่ง น้อยโสภณ รองประธานวุฒิสภา คนที่สอง ประธานในพิธีเปิดงานได้เน้นย้ำว่า แม้สื่อดิจิทัลจะก่อให้เกิดประโยชน์ในหลายมิติ แต่ก็ปรากฏปัญหาที่กระทบต่อความเชื่อและความมั่นคงทางศาสนา ซึ่งเป็นความท้าทายที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันหาทางออกอย่างจริงจัง

ผู้นำ 5 ศาสนิกสะท้อนปัญหา “สื่อสมัยใหม่”

ไฮไลน์ของงานเสวนา ทีมงานได้ทำสัมภาษณ์ผู้แทนจากผู้นำศาสนาทั้ง 5 ศาสนา ผ่านคลิปวิดีโอ โดยสะท้อนปัญหาการละเมิดที่ส่งผลกระทบต่อความศรัทธาอย่างชัดเจน: อาทิ การล้อเลียนและลดทอนคุณค่าของศาสนา เช่น การแต่งกายเลียนแบบพระภิกษุสงฆ์ในภาพยนตร์ หรือการนำดาราที่โด่งดังมาแต่งกายชุดเป็นพระภิกษุสงฆ์ไปขับขี่รถ จักรยานยนต์   การสร้างสื่อที่หมิ่นประมาทโดยการใช้เทคโนโลยี AI ในการผลิต ภาพพระเยซูกับพระพุทธเจ้าร่วมชนพิซซ่ากัน หรือการนำบทสวดสำคัญ เช่น คาถาชินบัญชร ไปใส่ทำนองเพลงที่ไม่เหมาะสม ตลอดถึงการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ล้อเลียนบุคคลสำคัญทางศาสนา

นายสันติ เสือสมิง ผู้ทรงคุณวุฒิจุฬาราชมนตรี ระบุว่า ศาสนาอิสลามก็เป็นเป้าหมายของการโจมตี ทั้งการใช้เท้าเหยียบพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน หรือการกล่าวหาว่าคัมภีร์ดังกล่าวมีคำสอนที่นำไปสู่ความรุนแรงและเป็นภัยต่อความมั่นคง นายสัตนามซิงห์ มัตตา ที่ปรึกษาสมาคมศรีคุรุสิงห์สภา เน้นย้ำว่า การมีเจตนาหมิ่น หรือการทำเพื่อความสนุกสนานตลกโปกฮา ถือเป็นการหมิ่นซึ่งไม่เหมาะสม ด้านพระพรหมเสนาบดี เจ้าอาวาสวัดปทุมคงคา แสดงความเป็นห่วงว่า “หากเด็กและเยาวชนมีสติปัญญาไม่ถึง ก็จะหลงเชื่อตามกระแสสื่อออนไลน์ที่ไม่ได้คำนึงถึงหลักธรรม ขณะที่พระพรหมวัชรสุทธาจารย์ เจ้าอาวาสวัดอาวุธวิกสิตาราม เรียกร้องให้คณะกรรมการชาวพุทธช่วยกันระมัดระวังและตำหนิสื่อที่ทำลายศาสนาพุทธ เพราะสื่อออนไลน์ในปัจจุบันทำลายมากที่สุด

ส่วนพระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ ประธานพระครูพราหมณ์ กล่าวเสริมว่า “ส่วนใหญ่เขาก็จะเอาภาพที่มีอยู่เดิม มาเป็นภาพเคลื่อนไหวแล้วนำมาตัดต่อเพื่อให้เกิดความรู้สึกสนุก ..ทั้งนี้ การให้ความรู้น่าจะเป็นทางออกที่ดี การให้ความรู้เรื่องการมห้เกียรติบุคคล  ให้เกียรติศาสนา ให้เกียรติตนเอง เพราะฉะนั้น การให้การศึกษาจะเป็นเป้าหมายสำคัญที่จะทำให้เหตุการณ์เหล่านี้มันลดลงไป”   บาทหลวงอนุชา ไชยเดช เลขาธิการสื่อมวลชนคาทอลิกประเทศไทย  กล่าวว่า มีการลบหลู่ที่พบเห็นได้ในทางสื่อสมัยใหม่ที่ผลิตและเข้าถึงสื่อได้ง่าย  ขณะเดียวกันการใช้สื่อเพื่อประโยชน์ส่วนตัว เรื่องคุณธรรม จริยธรรม เป็นเรื่องที่ละเอียด อ่อน  เรื่องกฎระเบียบการบังคับใช้ ควรมีความชัดเจน.

”งานเสวนาเชิงบูรณาการ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับความเสี่ยงที่องค์กรศาสนาต้องเผชิญในยุคที่โลกไร้พรมแดนแดน มุ่งตอบโจทย์ความท้าทายจากข่าวที่บิดเบือนข้อมูล ในสื่อดิจิทัลบนแพลตฟอร์มต่างๆ…โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากหลายหน่วยงาน ได้แก่ นางสาวมณีรัตน์ กำจรกิจการ ผู้ช่วยเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการคมนาคมแห่งชาติ(กสทช), นายอังคาร เพชรอาวุธ อัยการจังหวัดประจำสำนัก งานอัยการสูงสุด, นายศรัณย์ ทองคำ ผู้อำนวยการกลุ่มงานปฏิบัติการด้านการป้องกันการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(DE)

นายพศุตม์ ขอดเมชัย ผู้ตรวจราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ , พันตำรวจเอก รุ่งเลิศ คันธจันทร์ ผู้กำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 และนางสาวพลอย เจริญสม ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอ นิกส์ [ETDA]  พิธีกรผู้ดำเนินการรายการ:โดยนายธนพล พรมสุวงษ์ เลขานุการ กรมการศาสนา  นายศักดิ์เพชร ยานะแก้ว นักวิชาการศาสนาเชี่ยวชาญ (ด้านศาสนิกสัมพันธ์) กรมการศาสนา ซึ่งมีสาระสำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อศาสนาและสังคม ดังนี้

@แนวทางแก้ปัญหาวิกฤตการณ์ทางกฎหมายและข้อจำกัดในการบังคับใช้

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมายได้แสดงความเห็นพ้องว่า กฎหมายที่มีอยู่มีข้อจำกัดอย่างยิ่งในการจัดการกับคดีทางศาสนา นายอังคาร เพชรอาวุธ อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด ชี้แจงว่า ตลอด 12 ปีที่ผ่านมา ยังไม่เคยได้รับคดีเกี่ยวกับศาสนาเลย เนื่องจากปัญหาอยู่ที่จุดเริ่มต้นของกระบวนการ ดังข้อจำกัดของประมวลกฎหมายอาญา ทั้งนี้ หลักกฎหมายที่มุ่งคุ้มครองศาสนาในประมวลกฎหมายอาญามีอยู่เพียงสามมาตรา (มาตรา ๒๐๖ ถึง ๒๐๘) ซึ่งถูกบัญญัติขึ้นในยุคที่ฝ่ายนิติบัญญัติไม่ได้คิดว่าจะมีการกระทำความผิดในลักษณะหมิ่นศาสนาเช่นที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

โดยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๐๖: มุ่งคุ้มครอง วัตถุและสถานที่อันเป็นที่เคารพในศาสนา แต่ไม่ได้เขียนถึงการกระทำต่อพระภิกษุโดยตรง การบังคับใช้กฎหมายจะเกิดขึ้นต่อเมื่อการกระทำนั้นได้ความว่าเป็นการเหยียดหยามศาสนาด้วยเจตนาที่มุ่งร้ายต่อศาสนาเท่านั้น  ต่อมาประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๐๗: มุ่งคุ้มครอง พิธีกรรมในศาสนา โดยคุ้มครองความสงบเรียบร้อยในการรวมศูนย์ของประชาชนเพื่อทำกิจกรรมของแต่ละศาสนาส่วนประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๐๘: มุ่งคุ้มครอง เครื่องแต่งกายของพระภิกษุ หากมีการแต่งกายเลียนแบบพระภิกษุ แต่ผู้แสดงละครหรือภาพยนตร์อ้างว่า เป็นการแสดงเท่านั้น และไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้อื่นเชื่อว่าคนแสดงเป็นพระจริง ๆ ก็จะไม่เข้าองค์ประกอบความผิดตามมาตรานี้

“ในฐานะนักกฎหมายและผู้ปฏิบัติงาน ต้องหาช่องทางทางกฎหมายอื่นเท่าที่มีอยู่เพื่อนำมาปรับใช้คุ้มครองศาสนาและความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๒๒: สามารถนำมาใช้ในการห้ามโฆษณาสินค้าที่ทำให้สังคมเสื่อมลง เช่น สินค้าที่ล้อเลียนพระพุทธรูป  พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๔: กำหนดว่า ผู้ใดนำข้อความอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์โดยประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ความปลอดภัยของราชอาณาจักรของประเทศ ซึ่ง ความมั่นคงของราชอาณาจักรประกอบไปด้วย ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ … หากเนื้อหาที่เผยแพร่มีลักษณะที่ผิดแปลกไปจากหลักศาสนา เช่น การทำคลิปพระภิกษุไปปาร์ตี้ ทั้งที่พระต้องถือศีล ๒๒๗ ข้อ  ย่อมถือเป็น ข้อความเท็จอยู่ในตัว และหากสามารถพิสูจน์เจตนาของผู้กระทำผิดที่กระทำซ้ำในลักษณะเดิม ก็สามารถดำเนินคดีได้” นายอังคารกล่าว

ด้านพันตำรวจเอก รุ่งเลิศ คันธจันทร์  ผู้กำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 ยืนยันว่า กฎหมายมาตรา ๒๐๖, ๒๐๗, ๒๐๘ ไม่ครอบคลุมการกระทำในยุคอินเทอร์เน็ต ทำให้การตีความและการเริ่มต้นดำเนินคดีเป็นข้อจำกัด  นอกจากข้อจำกัดของตัวบทกฎหมายแล้ว ในการดำเนินคดีคือ การรวบรวมพยานหลักฐานบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งทำได้ยาก เนื่องจากผู้ควบคุมข้อมูลคือเจ้าของแพลตฟอร์มต่างชาติ เช่น Google หรือ Facebook ซึ่งไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจของรัฐบาลไทย หากไม่รู้ตัวตนผู้กระทำความผิดอย่างชัดเจน ก็ไม่สามารถเอาผิดใครได้  พันตำรวจเอก รุ่งเลิศ ชี้ว่า พยานหลักฐานทางดิจิทัลสามารถถูกป้อนเข้าสู่ระบบและ เปลี่ยนแปลงได้ง่าย ทำให้การระบุตัวตนทำได้ยากและล่าช้า

บทบาทของ กสทช.และ ETDA ในการกำกับดูแลสื่อ

นางสาวมณีรัตน์ กำจรกิจการ ผู้ช่วยเลขาธิการ กสทช. อธิบายว่า สำหรับสื่อยุคเก่า (โทรทัศน์ วิทยุ เคเบิล ดาวเทียม) กสทช. มีอำนาจเต็มในการกำกับดูแลทั้งในรูปแบบของการป้องกันและการปราบปราม ซึ่งแนวทางที่ดีที่สุดคือการป้องกัน ในอดีต กสทช. เคยลงโทษปรับและสั่งให้ดึงเนื้อหาออก จากรายการโทรทัศน์ที่นำเพลงนะโมมาดัดแปลงเนื้อร้อง ซึ่งคณะกรรมการวินิจฉัยแล้วว่าทำให้เกิดการดูหมิ่นศาสนา

อย่างไรก็ตาม สำหรับสื่อออนไลน์ในรูปแบบของ สตรีมมิ่งแพลตฟอร์ม กสทช. ได้เริ่มก้าวเข้าไปใช้กลไกในการ ป้องปราม โดยการประสานงานและดำเนินการร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กสทช. มีอำนาจในการกำกับดูแลสื่อ และจะเริ่มดำเนินการได้ต่อเมื่อ หน่วยงานหลักที่ดูแลเรื่องนี้จะต้องขยับตัวเสียก่อน และแจ้งให้ กสทช. ทราบว่ามีการเผยแพร่เนื้อหาที่ ไม่ถูกกฎหมาย บนสื่อนั้น

นางสาวพลอย เจริญสม ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ETDA อธิบายแนวคิดการกำกับดูแลแพลตฟอร์ม โดยระบุว่า ปัจจุบันกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับแพลตฟอร์มดิจิทัลกำหนดให้แพลตฟอร์มบางประเภทต้องมีบทบาทในการ ป้องปราม ซึ่งหมายความว่า แพลตฟอร์มต้องมีกระบวนการจัดการที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องรอหมายศาล เนื่องจากหากรอหมายศาล เนื้อหาที่เป็นปัญหาก็จะแพร่กระจายจนควบคุมไม่ได้ นางสาวพลอย เจริญสม เน้นย้ำว่า การทำงานจะง่ายขึ้นหากมีการกำหนดให้ชัดเจนว่า เนื้อหาเกี่ยวกับศาสนาลักษณะใดถือเป็น เนื้อหาที่ผิดกฎหมาย ซึ่งแพลตฟอร์มก็จะมีหน้าที่ช่วยจัดการได้ทันที

บทบาทของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE)

นายศรัณย์ ทองคำ ผู้อำนวยการกลุ่มงานปฏิบัติการด้านการป้องกันการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ (DE) กล่าวว่า กระทรวง DE ดำเนินงานภายใต้ พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (พ.ศ. ๒๕๖๐)  ในการดำเนินงาน: หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเก็บพยานหลักฐานและชี้แจงต่อกระทรวงฯ ว่า เนื้อหานั้นมีการกระทำความผิดตามกฎหมายที่หน่วยงานนั้น ๆ ถือครองอย่างไร จากนั้น DE จะยื่นคำร้องต่อศาลผ่านทางระบบ เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งระงับการเผยแพร่  กรณีจากศาลมีคำสั่งแล้ว จะต้องแจ้งผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตให้มีการระงับหรือนำข้อมูลที่ไม่ถูกต้องนั้นออกไป

“กระทรวง DE มีบุคลากรจำนวนไม่มาก การดำเนินงานจึงต้องทำร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีการจัดเก็บหลักฐานอย่างเป็นระบบ” นายศรัณย์ กล่าว

บทบาทของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.)

นายพศุตม์ ขอดเมชัย ผู้ตรวจราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า พศ. มีภารกิจหลักในการสนองงานคณะสงฆ์ แม้จะยอมรับว่าปัญหาการหมิ่นศาสนาเป็นเรื่องยุ่งยากและหนักใจในการสกัดกั้นเนื้อหา โดยศาสนาพุทธถูกกระทำในเชิงของการทำลายหรือลบหลู่มากที่สุด ในสองลักษณะคือ 1) กระทำต่อตัวบุคคลหรือภาพลักษณ์ และ 2) ในเรื่องของหลักธรรมคำสอน

“พศ. มิได้นิ่งนอนใจและมีกองงานที่รับผิดชอบเรื่องการรับเรื่องร้องเรียนตามสื่อต่าง ๆ ซึ่งบางเดือนมีหลายสิบ URL แต่ไม่สามารถจัดการได้ทั้งหมด เนื่องจากบางสื่อมาจากต่างประเทศ นายพศุตม์ ขอดเมชัย ระบุว่า สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดมีบุคลากรเพียง 4–5 คน ที่ต้องดูแลพระภิกษุทั้งจังหวัด ทำให้การรับข้อมูลข่าวสารเข้าถึงยาก และขาดเครื่องมือที่ทันสมัยไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม พศ. จะดำเนินการตามศักยภาพ ภายใต้กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง”

บทบาทของตำรวจไซเบอร์ (บช.สอท.)

พันตำรวจเอก รุ่งเลิศ คันธจันทร์ กล่าวในฐานะตัวแทนของตำรวจไซเบอร์ (บช.สอท.) ว่า ภารกิจหลักคือการป้องกันและปราบปราม รวมถึงการสืบสวนสอบสวนคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี การทำงานแบ่งเป็น 2รูปแบบ:ได้แก่ 1.การทำงานเชิงรับ: หากคดีเข้าองค์ประกอบความผิดที่ชัดเจนตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๐๖, ๒๐๗, ๒๐๘ หรือ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ ผู้เสียหายสามารถร้องทุกข์ต่อตำรวจไซเบอร์หรือพนักงานสอบสวนท้องที่ได้ เพื่อเริ่มต้นกระบวนการบังคับใช้กฎหมาย  2.การทำงานเชิงรุก: มีการจัดตั้งทีมมอนิเตอร์เนื้อหาที่บิดเบือนหรือการใช้ AI สร้างภาพล้อเลียน และมีการสร้างช่องทางพิเศษในการประสานงานโดยตรงกับเจ้าของแพลตฟอร์ม (Facebook, TikTok, Line) เพื่อปิดกั้นและบล็อกการเข้าถึง

ชู 3 ข้อเสนอเชิงนโยบายและการปฏิรูปกฎหมายเพื่อธำรงศรัทธา

ผู้ทรงคุณวุฒิและผู้ปฏิบัติงานเห็นพ้องว่า แนวทางที่ดีที่สุดในระยะยาวคือ การปฏิรูปกฎหมาย และมาตรการป้องกัน:

1)ด้านการปฏิรูปประมวลกฎหมายอาญา ทั้งนายอังคาร เพชรอาวุธ และ พันตำรวจเอก รุ่งเลิศ คันธจันทร์ เห็นว่า ถึงเวลาที่จะต้องมีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญาในหมวดเกี่ยวกับศาสนา เพื่อให้ถ้อยคำในกฎหมายเก่าครอบคลุมการกระทำความผิดในปัจจุบัน

นายอังคาร เสนอให้พิจารณาแก้ไขถ้อยคำใน ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๐๘ (กรณีแต่งกายเลียนแบบพระนักบวช) โดยเปลี่ยนถ้อยคำจาก “เพื่อให้เชื่อว่า เป็นความจริง” เป็นถ้อยคำที่ครอบคลุมลักษณะความเสียหายในยุคปัจจุบันมากขึ้น เช่น “เพื่อให้เกิดความเสื่อมศรัทธาในทางศาสนา” เป็นต้น ทั้งนี้ การแก้ไขต้องมีการรับฟังประชาชนก่อน

2.การจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะทางและการต่างประเทศ

นายอังคาร เสนอว่า ควรมีการจัดตั้ง กองงานศาสนา หรือหน่วยสืบสวนสอบสวนด้านศาสนาในสำนักงานตำรวจแห่งชาติขึ้นโดยเฉพาะ เพื่อจัดการกับปัญหาโดยตรง นอกจากนี้ ต้องเป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหารในการกระชับความสัมพันธ์กับเจ้าของแพลตฟอร์มต่างชาติ (Facebook และ Google) เพื่อให้การร้องขอพยานหลักฐานเกี่ยวกับผู้กระทำความผิดทำได้ง่ายขึ้น

3.มาตรการป้องกันผ่านความรู้ดิจิทัล

นางสาวมณีรัตน์ และ พันตำรวจเอก รุ่งเลิศ  ต่างเน้นย้ำว่าแนว ทางที่ดีที่สุดคือ การป้องกัน

พันตำรวจเอก รุ่งเลิศ  เสนอว่า ต้องมีการสร้างและส่งเสริม ความรอบรู้ทางดิจิทัล (Digital Literacy) หรือที่เรียกว่า “วัคซีนไซเบอร์” เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชน นักเรียน และเยาวชน ว่าการกระทำลักษณะใดที่หมิ่นเหม่จะผิดกฎหมายและสร้างความเสื่อมเสียให้กับศาสนา

พระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ ประธานพระครูพราหมณ์ ได้เสริมว่า การให้ความรู้โดยเน้นให้รู้จัก การให้เกียรติบุคคล ศาสนา และตนเอง จะเป็นเป้าหมายสำคัญที่ช่วยลดเหตุการณ์เหล่านี้

การเสวนาครั้งนี้โดยคณะอนุกรรมาธิการด้านศาสนาฯ ถือเป็นเวทีสำคัญที่สะท้อนให้เห็นความท้าทายในยุคสื่อดิจิทัลที่ส่งผลกระทบระทบต่อความศรัทธาของศาสนาอย่างยิ่งยวด โดยได้ชี้ให้เห็นทั้งข้อจำกัดของกฎหมายอาญาที่ต้องได้รับการปรับปรุง และความจำเป็นของการมีกลไกการกำกับดูแลที่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ผู้ช่วยศาสตราจารย์วราวุธ ตีระนันทน์ ได้กล่าวสรุปว่า คณะอนุกรรมาธิการด้านศาสนาฯ จะนำข้อคิดและข้อเสนอแนะที่ได้รับจากการเสวนาไปจัดทำเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อเสนอต่อกรรมาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปสู่การพัฒนาด้านกฎหมายและมาตรการที่เหมาะสมต่อไป และยืนยันว่า พลังในความร่วมมือและความตั้งใจของทุกท่านที่ได้ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกันจะเป็นรากฐานสำคัญในการดำรงรักษาและความศรัทธา เพื่อทำให้สังคมไทยเกิดความสงบ ความเข้าใจ และความสามัคคีอย่างแท้จริง

รายนามผู้มีส่วนร่วมในการเสวนาที่อ้างอิง:
1.นายบุญส่ง น้อยโสภณ รองประธานวุฒิสภา คนที่สอง
2.ผู้ช่วยศาสตราจารย์วราวุธ ตีระนันทน์ สมาชิกวุฒิสภา และประธานคณะอนุกรรมาธิการด้านศาสนา คุณธรรม จริยธรรม
3.นางสาวมณีรัตน์ กำจรกิจการ ผู้ช่วยเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
4.นายอังคาร เพชรอาวุธ อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด
5.นายศรัณย์ ทองคำ ผู้อำนวยการกลุ่มงานปฏิบัติการด้านการป้องกันการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE)
6.นายพศุตม์ ขอดเมชัย ผู้ตรวจราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.)
7.พันตำรวจเอก รุ่งเลิศ คันธจันทร์ ผู้กำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 (ในเอกสารต้นฉบับระบุ พลตำรวจตรีศิริวัฒน์ ดีพอ ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี)
8.นางสาวพลอย เจริญสม ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA)

Related posts