ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ชูธง Soft Power “ควายน้ำเลน้อย-มรดกโลก”

สงขลา พัทลุง นครศรีธรรมราช ผลักดัน “ควายน้ำเลน้อยมรดกโลก ซอฟต์ พาวเวอร์ (Soft Power) จุดขายการท่องเที่ยวเชิงนิเวศวัฒนธรรมวิถีชีวิต  เขา ป่า นา เล  สร้างงานสร้างรายได้สร้างเศรษฐกิจกระจายเข้าสู่ฐานราก จ.พัทลุง นครศรีธรรมราช จ.สงขลา ได้เพิ่มขึ้นถึง 20 % 

คุณกิตติพิชญ์ กลับคุณ ประธานหอการค้าจังหวัดพัทลุง ได้เล่าว่า  จากการที่ประชุมของคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย (ชุมพร นครศรีธรรมราช พัทลุง สุราษฎร์ธานี และสงขลา)  ซึ่งจากการที่ได้จัดทำแผนพัฒนาด้านการท่องเที่ยวลุ่มน้ำมทะเลสาบสงขลา พื้นที่ 3 จังหวัด จ.สงขลา จ.พัทลุง และ จ.นครศรีธรรมราช นั้น ซึ่ง กรอ.กลุ่มจังหวัดฝั่งอ่าวไทย ก็ได้มีมติเห็นชอบให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวขนาดใหญ่ของประเทศไทย  ของโครงการควายน้ำโมเดลควายน้ำเลน้อย

จากที่ควายน้ำควายเลน้อยนั้นในปัจจุบัน จ.พัทลุง มีอยู่ประมาณ 2,800 ตัว ส่วน จ.นครศรีธรรมราช และ จ.สงขลา ก็มีอยู่จำนวนหนึ่ง รวม ๆ แล้วมีอยู่ประมาณ 3,500 ตัว ที่ได้อาศัยอยู่ในลุ่มน้ำทะเลน้อยทะเลสาบสงขลาซึ่งโครงการควายน้ำโมเดลควายเลน้อย

ทางหอการค้าจังหวัดพัทลุง ก็ได้เสนอต่อที่ประชุมครม.สัญจรอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 18  กพ.2568 ที่ผ่านมา เพื่อเป็นการยกระดับควายน้ำให้เป็นการท่องเที่ยวลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาซึ่งเป็นลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาที่มีความสำคัญทางระบบนิเวศขนาดใหญ่มีทั้งน้ำจืดน้ำกร่อยที่มีความหลากหลากหลายทางชีวภาพสูงที่สุดของประเทศไทยตอนใต้ ซึ่งพื้นที่ครอบคลุม 3 จังหวัด  ทั้งสงขลา พัทลุง นครศรีธรรมราช

คุณกิตติพิชญ์  ยังเล่าอีกว่า โครงการควายน้ำโมเดลควายเลน้อยเป็น “Soft Power”  ที่จะเป็นจุดขายหลัก ซึ่งเป็นการท่องเที่ยวชุมชนเชิงนิเวศวัฒนธรรม ที่สะท้อนได้เห็นภาพอัตลักษณ์ของท้องถิ่น

“ระบบนิเวศเชื่อมโยงภูเขาสู่ทะเล ที่มีคุณค่าทางสิ่งแวดล้อมวัฒนธรรมวิถีชีวิตและภูมิปัญญาชุมชน ที่ได้สืบทอดกันมาอย่างยาวนานในพื้นที่ปริมณฑลเลสาบ อย่างเช่นของ จ.พัทลุงที่ยังรักษาวิถีเลประมงพื้นบ้านและการเลี้ยงควายเลน้อย ที่มีระบบนิเวศวัฒนธรรมเชื่อมโยง เขา ป่า นา เล”

ควายน้ำควายเลน้อย ได้เป็นสัญลักษณ์แห่งวิถีชีวิตลุ่มน้ำทะเลสาบเป็นสัญลักษณ์ของการอยู่ร่วมกันระหว่างคนกับธรรมชาติ ซึ่งได้สะท้อนเป็นภาพแทนของเศรษฐกิจวิถีชีวิต

ควายน้ำยังเป็นมรดกทางการเกษตรที่ได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลกทางการเกษตรแห่งแรกของไทย จากองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO)

โครงการควายน้ำโมเดลเป็นเศรษฐกิจวิถีชีวิตชาวเล ภูมิปัญญาท้องถิ่นและวัฒนธรรม เชื่อมโยง เขา ป่า นา เล ที่ผูกพันกับน้ำพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา อย่างจ.พัทลุง ที่ยังรักษาวิถีเลประเพณีการประมงและการเลี้ยงควาย ไซ ยอ โพงพาง
และการเลี้ยงควายแบบปล่อยให้หากินในทุ่งน้ำและเลนซึ่งเป็นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ส่วนอาหารพื้นถิ่นมีการแปรรรูปจากวัตถุดิบท้องถิ่น เช่น ปลาดุกร้า ข้าวยำแกงไก่บ้านใบหมุย และยังการสืบทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นพิธีกรรม พิธีรับขวัญควาย และประเพณีลากพระ

“โครงการควายน้ำโมเดลเป็น “Soft Power”  เป็นต้นทุนวัฒนธรรมของลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา และจะเป็นศูนย์กลางสร้างเศรษฐกิจฐานราก”  คุณกิตติพิชญ์ เล่า

สำหรับเส้นทางการท่องเที่ยวนั้นคุณกิตติพิชญ์ บอกว่า จะมีเส้นทาง 1 คือสัมผัสทะเลควายเลน้อย โดยนั่งเรือชมฝูงควายเล่นน้ำทะเลสาบสงขลา เช่น ป้อนอาหารควายเลน้อย สัมผัสประสบการณ์ใกล้ชิดกับควาย
เส้นทาง 2 วิถีชุมชนริมทะเลสาบ สาธิตการเลี้ยงควาย เรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นทะเลสาบ

และเส้นทาง 3 เชื่อมโยงเขาป่า นา เล ซึ่งจะเน้นเส้นทางจักรยานยนต์รอบทะเลสาบสงขลา จะได้ชมวิถีชีวิตชุมชน เวิร์คชอปศิลปพื้นบ้าน อีกทั้งได้เรียนรู้งานหัตถกรรมท้องถิ่น

“โครงการควายยน้ำโมเดล มีเครือข่ายร่วมมือกันระหว่างชุมชน กลุ่มอาชีพเลี้ยงควาย ประมงพื้นบ้าน วิสาหกิจชุมชน โฮมสเตย์ และกลุ่มผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น พร้อมกับหน่วยงานรัฐ มีองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เทศบาล (สท.) องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.)  ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด ส่วนด้านงานวิชาการและวิจัย  มีมหาวิทยาลัยทักษิณ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) และในภาคเอกชน มีบริษัทนำเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร และผู้ประกอบการในพื้นที่ร่วมกันสนับสนุน”
คุณกิตติพิชญ์ เล่าว่า การท่องเที่ยว จ.พัทลุง  โดยยอดนิยมของนักท่องเที่ยวควายน้ำควายเลน้อยนั้นจะเป็นยอดนิยม 1 ใน 3 นอกจากชมวิวบัวแดง ฯลฯ แล้ว  และควายน้ำควายเลน้อย สามารถชมวิวได้ตลอดปีตั้งเช้าจนถึงเย็น

“แต่ในขณะที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวก็จะต้องมีการส่งเสริมคนเลี้ยงควายให้อยู่ได้อย่างยั่งยืน ซึ่งทางมหาวิทยาลัยทักษิณได้ทำการวิจัยมีช่องทางแล้ว เช่น การแปรรูปไอครีมนมควาย สเต็กควาย  นมควาย และกาแฟขี้ควาย ที่จะสามารถจะสร้างเพิ่มรายได้ให้กับคนเลี้ยงควาย ซึ่งต้องมีการเปิดช๊อปบูทตามจุดชมวิวควายน้ำเพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์สินค้า”

คุณกิตติพิชญ์ บอกว่า  โครงการก็จะเป็นการสร้างรายได้ที่เป็นการกระจายเข้าสู่ชุมชน โดยผ่านการท่องเที่ยว ผ่านการจำหน่ายสินค้า  ก็จะเกิดการจ้างแรงงาน สร้างรายได้ก็เกิดขึ้นในพื้นที่ที่จะเพิ่มขึ้นถึง 20 %.

Related posts